Money Flow Index (MFI) คืออะไร ใช้วิเคราะห์ตลาดและแรงซื้อ-ขาย

Published on May 31, 2024

Money Flow Index (MFI) เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์การไหลเวียนของเงินในตลาด พัฒนาขึ้นโดย Gene Quong และ Avrum Soudack โดยมีจุดประสงค์เพื่อวัดแรงซื้อขายและความต่อเนื่องของกระแสเงินที่ไหลเข้าและไหลออกจากหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ต่างๆ

 

Money Flow Index (MFI)

 

ประโยชน์ของ Money Flow Index (MFI) ในการวิเคราะห์ตลาด

Money Flow Index (MFI) ช่วยระบุสภาวะการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) ในตลาด รวมถึงการเกิด Divergence ระหว่างทิศทางของราคาและกระแสเงิน ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการกลับตัวของราคาในอนาคต นอกจากนี้ MFI ยังสามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณซื้อขายและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการวิเคราะห์ตลาดอีกด้วย

 

องค์ประกอบหลักของ MFI

สูตรการคำนวณ MFI ประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลักดังนี้:

  1. Money Flow (กระแสเงิน): คำนวณจากผลคูณของราคาเฉลี่ย (Typical Price) และปริมาณการซื้อขาย (Volume)
  2. Typical Price (ราคาเฉลี่ย): คำนวณจาก (ราคาสูงสุด + ราคาต่ำสุด + ราคาปิด) / 3
  3. Raw Money Flow (กระแสเงินดิบ): คำนวณจากผลคูณของ Typical Price และ Volume ในแต่ละวัน
  4. Positive และ Negative Money Flow (กระแสเงินบวกและลบ): แยกกระแสเงินดิบเป็นค่าบวกหรือลบ โดยเปรียบเทียบ Typical Price ของวันนี้กับวันก่อนหน้า
  5. Money Flow Ratio (อัตราส่วนกระแสเงิน): คำนวณจากผลรวมของกระแสเงินบวกหารด้วยผลรวมของกระแสเงินลบในช่วงเวลาที่กำหนด

 

เปิดบัญชีเทรดที่ ALPFOREX

 

ขั้นตอนการคำนวณค่า MFI

  1. คำนวณ Typical Price ในแต่ละวัน
  2. คำนวณ Raw Money Flow ในแต่ละวัน
  3. แยก Positive และ Negative Money Flow ตามเงื่อนไขที่กำหนด
  4. คำนวณผลรวมของ Positive และ Negative Money Flow ในช่วงเวลาที่ต้องการ (มักใช้ 14 วัน)
  5. คำนวณ Money Flow Ratio โดยใช้ผลรวมของ Positive และ Negative Money Flow
  6. แปลงค่า Money Flow Ratio เป็นค่า MFI โดยใช้สูตร: MFI = 100 - (100 / (1 + Money Flow Ratio))

 

การอ่านค่าและการตีความ Money Flow Index (MFI)

การอ่านค่าและการตีความ Money Flow Index (MFI)

ระดับต่างๆ ของ Money Flow Index (MFI)

  • ระดับ Overbought (ซื้อมากเกินไป): เมื่อ MFI มีค่าสูงกว่า 80 แสดงว่ามีการซื้อหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์มากเกินไป ราคาอาจมีการปรับตัวลดลงในระยะสั้น
  • ระดับ Oversold (ขายมากเกินไป): เมื่อ MFI มีค่าต่ำกว่า 20 แสดงว่ามีการขายหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์มากเกินไป ราคาอาจมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้น
  • ระดับ Divergence (การแยกตัวของราคาและ MFI): เมื่อทิศทางของราคาและ MFI ไม่สอดคล้องกัน เช่น ราคาสูงขึ้นแต่ MFI ลดลง (Bearish Divergence) หรือราคาลดลงแต่ MFI สูงขึ้น (Bullish Divergence) อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวของราคา

การใช้ MFI ในการระบุสัญญาณซื้อขาย

  • สัญญาณซื้อเมื่อ MFI ตัดขึ้นเหนือเส้นค่ากลาง (50) จากระดับ Oversold
  • สัญญาณขายเมื่อ MFI ตัดลงต่ำกว่าเส้นค่ากลาง (50) จากระดับ Overbought
  • การยืนยันสัญญาณซื้อขายด้วย Divergence เช่น ราคาสูงขึ้นแต่ MFI ลดลง อาจเป็นสัญญาณขาย หรือราคาลดลงแต่ MFI สูงขึ้น อาจเป็นสัญญาณซื้อ

การใช้ MFI ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ

  • การใช้ MFI กับ Relative Strength Index (RSI): ใช้ระดับ Overbought/Oversold ของทั้ง MFI และ RSI เพื่อยืนยันสัญญาณซื้อขาย
  • การใช้ MFI กับ Moving Average Convergence Divergence (MACD): ใช้การตัดกันของเส้น MACD และ Signal Line ร่วมกับสัญญาณจาก MFI เพื่อระบุจังหวะการเข้าซื้อขาย
  • การใช้ MFI กับแนวรับแนวต้านและรูปแบบกราฟราคา: ใช้ MFI เพื่อยืนยันการผ่านแนวรับแนวต้านสำคัญหรือการเกิดรูปแบบกราฟราคาเช่น Double Top/Bottom หรือ Head and Shoulders

 

วิธีการปรับใช้ MFI ในการซื้อขาย ให้มีประสิทธิภาพ

การใช้ MFI ในการซื้อขายฟอเร็กซ์ (Forex)

  • การประยุกต์ใช้ MFI กับคู่สกุลเงินหลัก เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY เพื่อวิเคราะห์กระแสเงินในตลาดฟอเร็กซ์
  • การปรับพารามิเตอร์ MFI เช่น ระยะเวลาการคำนวณ ให้เหมาะสมกับความผันผวนและสภาพคล่องของแต่ละคู่สกุลเงิน

 

เทคนิคสำคัญการซื้อขายด้วย Money Flow Index (MFI)

เทคนิคสำคัญการซื้อขายด้วย Money Flow Index (MFI)

เทคนิคการซื้อขายตามสัญญาณของ MFI

  • การเปิดสถานะซื้อเมื่อ MFI ตัดขึ้นเหนือเส้นค่ากลาง (50) และปิดสถานะเมื่อ MFI กลับตัวลงมาที่เส้นค่ากลางอีกครั้ง
  • การเปิดสถานะขายเมื่อ MFI ตัดลงต่ำกว่าเส้นค่ากลาง (50) และปิดสถานะเมื่อ MFI กลับตัวขึ้นไปที่เส้นค่ากลางอีกครั้ง
  • การใช้ระดับ Overbought (>80) และ Oversold (<20) ของ MFI เพื่อหาจังหวะในการปิดสถานะที่มีกำไรหรือตัดขาดทุน

เทคนิคการซื้อขาย MFI Breakout

  • การรอให้ราคาหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์มีการผ่านแนวต้านหรือแนวรับสำคัญ โดยดูจากระดับ MFI ที่สอดคล้องกัน
  • การเปิดสถานะไปในทิศทางของการผ่านแนวต้านหรือแนวรับ โดยใช้ MFI เป็นตัวยืนยันแนวโน้มราคา

เทคนิคการซื้อขาย MFI Divergence

  • การหาจุดเปิดสถานะซื้อเมื่อเกิด Bullish Divergence คือเมื่อราคาลดลงแต่ MFI กลับสูงขึ้น
  • การหาจุดเปิดสถานะขายเมื่อเกิด Bearish Divergence คือเมื่อราคาสูงขึ้นแต่ MFI กลับลดลง
  • การกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและสภาวะตลาด

 

สรุปความหมายและประโยชน์ของ MFI

  • MFI เป็นเครื่องมือวัดกระแสเงินเพื่อประเมินแรงซื้อขายและความต่อเนื่องของการไหลเข้าออกของเงินในตลาด
  • MFI ช่วยระบุสัญญาณซื้อขาย จุดกลับตัวของราคา และใช้ยืนยันสัญญาณจากเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ ได้

ข้อแนะนำในการใช้ MFI อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ปรับพารามิเตอร์ของ MFI เช่น ระยะเวลาในการคำนวณ ให้เหมาะสมกับสินทรัพย์และกรอบเวลาที่เลือกลงทุน
  • ใช้ MFI ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณซื้อขาย
  • วางแผนจัดการความเสี่ยงและกำหนดระดับการทำกำไรขาดทุนที่เหมาะสมเมื่อใช้ MFI ในการซื้อขาย

สิ่งที่ควรระวังและข้อควรพิจารณาในการใช้ MFI

  • ในบางสถานการณ์ MFI อาจให้สัญญาณที่ผิดพลาดหรือล่าช้าได้ จึงควรใช้ MFI ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ในการตัดสินใจลงทุน
  • ความผันผวนของราคาและปริมาณการซื้อขายที่ผิดปกติ อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสัญญาณจาก MFI
  • การใช้ MFI อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจ ประสบการณ์ และวินัยในการซื้อขาย

 

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

 

Money Flow Index (MFI) เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนและนักเทรดในการวิเคราะห์กระแสเงินและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา อย่างไรก็ตาม MFI ไม่ใช่เครื่องมือที่สมบูรณ์แบบและมีข้อจำกัดบางประการ ดังนั้นจึงควรใช้ MFI ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ทั้งทางเทคนิคและพื้นฐาน รวมถึงการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย

crossmenu