Published on May 2, 2024
Day Trade คือการซื้อขายหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์อื่นๆ โดยเปิดและปิดสถานะภายในวันทำการเดียวกัน ไม่มีการถือสถานะข้ามคืน เป้าหมายของ Day Trade คือการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาเล็กน้อยแต่บ่อยครั้งในระหว่างวัน โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลักในการหาจังหวะเข้าและออกตลาด
Day Trade ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน เพราะมุ่งเน้นการหากำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น โดยอาศัยการวิเคราะห์กราฟ, แนวรับแนวต้าน, รูปแบบราคา (Price Action) รวมถึงตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), ออสซิลเลเตอร์ต่างๆ เพื่อคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตอันใกล้
การบริหารความเสี่ยงและการจัดสรรเงินทุนมีความสำคัญมากใน Day Trade เพราะการทำกำไรที่สม่ำเสมอมาจากการควบคุมความเสียหายในแต่ละครั้งให้น้อยที่สุด วิธีการจัดการความเสี่ยงใน Day Trade ได้แก่:
Day Trader ส่วนใหญ่มักเลือกเทรดกับหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เพื่อให้สามารถเข้าและออกตลาดได้อย่างรวดเร็ว และลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรุนแรง นอกจากนี้หุ้นที่มีความผันผวนสูงในแต่ละวันก็เป็นที่นิยมเช่นกัน เพราะให้โอกาสในการทำกำไรมากกว่า อย่างไรก็ตาม ความผันผวนที่สูงก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงด้วย จึงต้องระวังเป็นพิเศษ
ก่อนเปิดสถานะเทรดทุกครั้ง Day Trader ต้องมีการวางแผนอย่างชัดเจนถึงระดับราคาที่จะทำกำไร (Take Profit) และระดับราคาที่จะตัดขาดทุน (Stop Loss) ตามอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ต้องการ เช่น ใช้หลัก 2:1 หรือ 3:1 เป็นต้น เพื่อให้มีวินัยในการปิดสถานะเมื่อถึงเป้าหมาย และป้องกันการขาดทุนเกินกว่าที่คาดไว้ ไม่ควรเลื่อนจุด Stop Loss เพราะอาจทำให้การขาดทุนบานปลายได้
เป็นกลยุทธ์การเข้าซื้อขายบ่อยครั้ง แต่ได้กำไรเพียงเล็กน้อยในแต่ละครั้ง มักใช้กับสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและสเปรดราคาที่แคบมาก เป้าหมายคือการทำกำไรสะสมจากส่วนต่างราคาในช่วงสั้นๆ โดยใช้ Leverage เพื่อเพิ่มปริมาณการซื้อขายให้ได้มากขึ้น
มุ่งเน้นการเทรดตามทิศทางของแรงซื้อหรือแรงขายที่กำลังแข็งแกร่ง โดยหาสัญญาณการเริ่มต้นของโมเมนตัมจากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น, ข่าวหรือปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ เพื่อคาดการณ์ว่าราคาจะสามารถวิ่งต่อไปได้ไกล
เป็นการหาจังหวะในการสวนกระแส โดยรอให้ราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางหนึ่งอย่างรุนแรงจนถึงจุดสุดโต่ง แล้วค่อยเข้าสถานะไปในอีกทิศทางหนึ่ง ด้วยความคาดหวังว่าราคาจะกลับตัวอย่างรวดเร็ว มักใช้ประกอบกับการดูระดับ Overbought/Oversold ของออสซิลเลเตอร์ประเภทต่างๆ
เป็นการเทรดที่อาศัยอัลกอริธึมคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ในการส่งคำสั่งซื้อขายจำนวนมากในเวลาเพียงไม่กี่วินาที เพื่อแสวงหากำไรจากส่วนต่างราคาที่เล็กมากๆ และใช้ความได้เปรียบจากความเร็วในการเข้าถึงตลาด วิธีนี้ต้องอาศัยต้นทุนสูงในการลงทุนระบบและทำเลที่ตั้ง จึงไม่เหมาะกับนักเทรดทั่วไป
แนวรับแนวต้าน (Support & Resistance) เป็นพื้นฐานสำคัญที่ Day Trader ใช้ในการวิเคราะห์กราฟ เพื่อหาจุดเข้าและออกที่เหมาะสม แนวรับแนวต้านระยะสั้นอาจเกิดจากจุดสูงสุด/ต่ำสุดของแท่งเทียนในอดีต, ระดับ Fibonacci Retracement, Pivot Point รายวัน รวมถึงระดับจิตวิทยาสำคัญ เช่น ทศนิยมกลมๆ Day Trader มักรอให้ราคาย่อตัวมาที่แนวรับ หรือดีดตัวไปชนแนวต้าน ก่อนจะตัดสินใจเปิดสถานะ
Moving Averages (MA): บ่งชี้ถึงทิศทางของเทรนด์ โดยราคาอยู่เหนือเส้น MA แสดงถึงเทรนด์ขาขึ้น ส่วนราคาต่ำกว่า MA เป็นเทรนด์ขาลง
Relative Strength Index (RSI): ดูภาวะ Overbought / Oversold โดยค่าเกิน 70 ถือว่า Overbought ส่วนค่าต่ำกว่า 30 เป็น Oversold
Stochastic Oscillator: วัดโมเมนตัมของราคา โดยพิจารณาจากตำแหน่งของราคาปิดเทียบกับช่วงราคาในอดีต
Moving Average Convergence Divergence (MACD): เป็นตัวชี้วัดโมเมนตัมที่ดูจากความสัมพันธ์ของเส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้น
กราฟแท่งเทียนเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับ Day Trader ในการวิเคราะห์แนวโน้มและอารมณ์ของตลาด โดยพิจารณาจากรูปร่างและสีของแท่งเทียนในแต่ละช่วงเวลา รูปแบบของแท่งเทียนบางลักษณะสามารถใช้เป็นสัญญาณการกลับตัวหรือสัญญาณการยืนยันเทรนด์ได้ เช่น Hammer, Shooting Star, Engulfing Candle เป็นต้น การจดจำรูปแบบเทียนพื้นฐานและฝึกฝนการวิเคราะห์แท่งเทียนอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นทักษะสำคัญสำหรับ Day Trader