Published on May 21, 2024
Double Top เป็นรูปแบบกราฟที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลงที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต โดยเกิดขึ้นเมื่อราคาขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดเดิมถึงสองครั้ง แต่ไม่สามารถผ่านระดับดังกล่าวไปได้ จากนั้นราคาจะปรับตัวลงมา ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง โดยลักษณะสำคัญคือมีสองจุดยอดที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกันและมีจุดต่ำสุดระหว่างสองจุดยอดนั้น การเกิด Double Top มักบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้นถึงระยะกลาง
จุดยอดแรกเป็นจุดที่ราคาขึ้นไปถึงระดับสูงสุดหลังจากมีแนวโน้มขาขึ้นมาระยะหนึ่ง โดยแสดงถึงแรงซื้อที่เข้ามาในตลาดจนผลักดันราคาสูงขึ้น การระบุระดับราคาของจุดยอดแรกสามารถทำได้โดยการดูระดับสูงสุดของแท่งเทียนหรือบาร์ในช่วงเวลาที่กำหนด นอกจากระดับราคาแล้ว ปริมาณการซื้อขายที่จุดยอดแรกก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาด้วย โดยปริมาณการซื้อขายที่สูงอาจบ่งชี้ถึงแรงซื้อที่มากและอาจยังคงผลักดันราคาขึ้นต่อ
หลังจากราคาปรับตัวลงมาจากจุดยอดแรก ถ้าราคาสามารถขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ได้ในระดับใกล้เคียงกับจุดยอดแรก จะถือเป็นจุดยอดที่สอง โดยจุดยอดที่สองไม่จำเป็นต้องสูงกว่าจุดแรกเสมอไป อาจเท่ากันหรือต่ำกว่าเล็กน้อยก็ได้ แต่ควรอยู่ในกรอบแนวต้านเดียวกับจุดยอดแรก การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างจุดยอดสองจุด เช่น ระยะห่างของเวลาและระดับราคา จะช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือของรูปแบบ Double Top ได้มากขึ้น
จุด Trough คือจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างจุดยอดทั้งสอง โดยเป็นจุดที่แสดงถึงแรงขายที่เข้ามากดดันราคาหลังจากแตะจุดยอดแรก ระดับของจุด Trough จะถูกนำมาใช้เป็นจุดอ้างอิงในการสร้างเส้น Neckline เพื่อคอยดูสัญญาณการยืนยันรูปแบบ Double Top ต่อไป โดยปกติราคาและปริมาณการซื้อขายที่จุด Trough มักจะค่อนข้างต่ำ สะท้อนถึงแรงซื้อที่ลดลงหลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดแรก
เส้น Neckline คือเส้นที่ลากผ่านจุด Trough หรือจุดต่ำสุดระหว่างสองยอด ซึ่งถือเป็นระดับแนวรับสำคัญที่ต้องติดตาม โดยทั่วไปเส้น Neckline มักจะทำมุมเอียงขึ้นเล็กน้อย แต่ในบางกรณีอาจเป็นเส้นตรงในแนวราบหรือเอียงลงก็ได้ การผ่านของราคาลงมาต่ำกว่าเส้น Neckline จะถือเป็นการยืนยันการเกิดรูปแบบ Double Top และส่งสัญญาณขายเพื่อเปิดสถานะขาลง ดังนั้นการวาดเส้น Neckline อย่างถูกต้องและรอการยืนยันก็เป็นส่วนสำคัญในการใช้ประโยชน์จากรูปแบบนี้
เมื่อราคาปิดต่ำกว่าเส้น Neckline ให้เปิดสถานะขายโดยมีจุดเข้า Entry อยู่ที่บริเวณใกล้เคียงกับจุดปิดที่ยืนยันการ Break แนวรับ ส่วนการวางระดับ Stop Loss นั้นมักจะอ้างอิงจากจุดยอดล่าสุด โดยอาจบวกเพิ่มระยะห่างจากสองยอดเข้าไปอีก เพื่อให้มีระยะห่างพอที่ราคาสามารถแกว่งตัวได้ โดยไม่โดน Stop Loss ส่วนการตั้งเป้าหมายกำไรหรือ Take Profit Level นั้น อาจอ้างอิงจากความสูงของรูปแบบ Double Top แล้วนำมาฉายกลับลงไป ซึ่งมักจะใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 1 กับความสูงของรูปแบบ
เนื่องจากรูปแบบ Double Top มีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อย แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะเป็นสัญญาณกลับตัวที่แท้จริง ดังนั้นการรอการยืนยันสัญญาณจึงมีความสำคัญมาก โดยอาจติดตามการปิดราคาต่ำกว่าเส้น Neckline ด้วยแท่งเทียนปิดที่มีขนาดใหญ่ หรือปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมาก หรืออาจใช้ Indicator ประเภท Momentum เพื่อดูแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้น เช่น เส้น EMA ที่ตัดกัน หรือ RSI ที่ปรับตัวต่ำลงแตะเส้นสัญญาณ Oversold เป็นต้น การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ร่วมด้วยจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสัญญาณมากขึ้น
การควบคุมความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญมากในการเทรดตามรูปแบบ Double Top เนื่องจากมีโอกาสเกิดสัญญาณหลอกได้ โดยควรเลือกขนาดสัญญาที่เหมาะสมกับเงินทุนและความเสี่ยงที่รับได้ในแต่ละครั้ง รวมถึงอาจแบ่งย่อยการเปิดสถานะเป็นหลายส่วนตามระดับราคาที่ลงมา เพื่อบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น นอกจากนี้การปรับระดับ Stop Loss เพื่อล็อกกำไรบางส่วนเมื่อตลาดเคลื่อนไหวตามคาด ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยจำกัดความเสียหายและเพิ่มโอกาสทำกำไรจากการเทรดตามกลยุทธ์นี้
รูปแบบ Double Top เป็นรูปแบบกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลงที่มีความน่าเชื่อถือสูงในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยให้สัญญาณการกลับตัวที่มีนัยยะสำคัญในระยะกลาง ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการค้นหาโอกาสในการเทรดขาลงได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุก Double Top จะให้สัญญาณที่แม่นยำเสมอไป
การรอคอยสัญญาณยืนยันและการนำปัจจัยอื่นๆ มาร่วมวิเคราะห์ด้วย จะช่วยกรองสัญญาณที่แท้จริงออกมาได้ นอกจากนี้การบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัยในแต่ละครั้ง ก็จะช่วยให้การใช้งานรูปแบบนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งหัวใจสำคัญคือการฝึกฝนให้เกิดความชำนาญจนสามารถพิจารณาความน่าเชื่อถือของ Double Top ได้อย่างแม่นยำนั่นเอง