Published on September 10, 2024
Renko Chart เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมสำหรับการวิเคราะห์ตลาดการเงิน โดยเฉพาะในตลาด Forex และตลาดหุ้น Renko Chart มักถูกใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคา การกำหนดแนวรับแนวต้าน และการระบุจุดเข้าและออกของการเทรด กลยุทธ์เทรด Renko Chart มีลักษณะที่แตกต่างจากกราฟแบบแท่งเทียน (Candlestick) และกราฟแท่ง (Bar Chart) เนื่องจากกราฟ Renko มุ่งเน้นที่การเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่สนใจเรื่องเวลา ทำให้สามารถกรองเสียงรบกวนและแสดงแนวโน้มที่ชัดเจนมากขึ้น บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรด Renko Chart ตั้งแต่พื้นฐานของแนวคิด การใช้งาน และการพัฒนากลยุทธ์เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา
Renko Chart เป็นกราฟที่เกิดจากการวาด "กล่อง" หรือ "อิฐ" (Bricks) ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของราคา กล่องเหล่านี้จะปรากฏขึ้นเมื่อราคาของสินทรัพย์มีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเป็นจำนวนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยไม่สนใจช่วงเวลาของการเคลื่อนไหวนั้น ความเรียบง่ายของ Renko Chart ทำให้สามารถมองเห็นแนวโน้มและแนวรับแนวต้านได้ง่ายขึ้น และเป็นเหตุผลที่ทำให้นักเทรดหลายคนชื่นชอบในการนำไปใช้ในการวิเคราะห์
การสร้าง Renko Chart เริ่มจากการกำหนด "ขนาดกล่อง" หรือ "Brick Size" ซึ่งเป็นจำนวนการเคลื่อนไหวของราคาที่ต้องเกิดขึ้นเพื่อที่จะวาดกล่องใหม่ ตัวอย่างเช่น หากกำหนดขนาดกล่องเป็น 10 จุด (Pips) ในการเทรด Forex กล่องใหม่จะถูกวาดเมื่อราคามีการเคลื่อนไหวขึ้นหรือลง 10 จุดจากกล่องก่อนหน้า ซึ่งหมายความว่าหากราคายังคงเคลื่อนไหวไม่ถึง 10 จุด ก็จะไม่มีการเพิ่มกล่องใหม่บนกราฟ การกำหนดขนาดกล่องที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับลักษณะของตลาดและสไตล์การเทรดของแต่ละบุคคล
Renko Chart ช่วยในการกรอง "เสียงรบกวน" หรือความผันผวนเล็กๆ ที่ไม่สำคัญในตลาด ซึ่งทำให้นักเทรดสามารถมองเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้เทรดเดอร์สามารถกำหนดแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการวาดกล่องใหม่ต้องมีการเคลื่อนไหวของราคาที่สำคัญ นอกจากนี้ Renko Chart ยังเป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มและการเทรดตามแนวโน้ม
กลยุทธ์การเทรดด้วย Renko Chart มีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับวิธีการวิเคราะห์และการใช้งานของนักเทรด ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในตลาด Forex ตลาดหุ้น และสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีการเคลื่อนไหวของราคา
การเทรดตามแนวโน้มเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ยอดนิยมที่ใช้กับ Renko Chart โดยเทรดเดอร์จะมองหาการเคลื่อนไหวของราคาที่เป็นแนวโน้มชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) หรือแนวโน้มขาลง (Downtrend) การเข้าสู่ตลาดจะเกิดขึ้นเมื่อราคาทำการสร้างกล่องใหม่ในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้ม โดยการยืนยันแนวโน้มสามารถทำได้โดยใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือ MACD (Moving Average Convergence Divergence)
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เป็นตัวชี้วัดที่นิยมใช้ร่วมกับ Renko Chart เพื่อยืนยันแนวโน้มของราคา โดยเทรดเดอร์จะใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่รวดเร็ว (เช่น EMA 20) และเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ช้า (เช่น EMA 50) หากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่รวดเร็วตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ช้า เป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้น และเป็นโอกาสในการเข้าสู่ตลาดเพื่อซื้อ ในทางกลับกัน หากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่รวดเร็วตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ช้า เป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลง และเป็นโอกาสในการเข้าสู่ตลาดเพื่อขาย
กลยุทธ์การกลับตัวของแนวโน้มเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการหาจุดกลับตัวของราคาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม กลยุทธ์นี้มักใช้ร่วมกับตัวชี้วัดทางเทคนิคเช่น RSI (Relative Strength Index) หรือ Bollinger Bands เพื่อยืนยันจุดกลับตัวของแนวโน้ม หาก Renko Chart แสดงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง (หรือกลับกัน) โดยมีสัญญาณสนับสนุนจากตัวชี้วัดทางเทคนิคที่บ่งบอกถึงภาวะซื้อเกิน (Overbought) หรือขายเกิน (Oversold) นักเทรดสามารถทำการเทรดโดยคาดการณ์การกลับตัวของราคา
RSI เป็นตัวชี้วัดที่นิยมใช้เพื่อระบุสภาวะซื้อเกินหรือขายเกิน เมื่อ RSI มีค่าสูงกว่า 70 แสดงถึงสภาวะซื้อเกิน และเมื่อ RSI มีค่าต่ำกว่า 30 แสดงถึงสภาวะขายเกิน นักเทรดสามารถใช้ค่า RSI ร่วมกับ Renko Chart เพื่อยืนยันการกลับตัวของแนวโน้ม เมื่อ RSI แสดงถึงสภาวะซื้อเกินและ Renko Chart เริ่มเปลี่ยนทิศทางจากขาขึ้นเป็นขาลง เป็นสัญญาณให้ขาย ในทางกลับกัน เมื่อ RSI แสดงถึงสภาวะขายเกินและ Renko Chart เริ่มเปลี่ยนทิศทางจากขาลงเป็นขาขึ้น เป็นสัญญาณให้ซื้อ
กลยุทธ์ Breakout Trading เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับ Renko Chart โดยเทรดเดอร์จะมองหาการทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ เมื่อราคาเคลื่อนที่ผ่านแนวต้านที่สำคัญ (Resistance) เป็นสัญญาณการเข้าสู่ตลาดเพื่อซื้อ ในทางกลับกัน หากราคาทะลุผ่านแนวรับที่สำคัญ (Support) เป็นสัญญาณการเข้าสู่ตลาดเพื่อขาย Renko Chart ช่วยในการระบุแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้สามารถมองเห็นจุด Breakout ได้ง่าย
Bollinger Bands เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยระบุความผันผวนของตลาดและแนวรับแนวต้านที่สำคัญ นักเทรดสามารถใช้ Bollinger Bands ร่วมกับ Renko Chart เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ Breakout เมื่อราคาเคลื่อนที่ผ่านแถบ Bollinger Bands และ Renko Chart แสดงการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน เป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งสำหรับการ Breakout
การจัดการความเสี่ยงและการบริหารจัดการเงินเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์เทรด Renko Chart เช่นเดียวกับกลยุทธ์การเทรดอื่นๆ เทรดเดอร์ควรกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ที่ชัดเจนเพื่อป้องกันการสูญเสียที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังควรพิจารณาการกำหนดขนาดการลงทุน (Position Sizing) ที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถรักษาความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้
การตั้งจุดหยุดขาดทุนใน Renko Chart สามารถทำได้โดยกำหนดให้หยุดการขาดทุนเมื่อราคาสร้างกล่องใหม่ในทิศทางตรงกันข้ามกับการเทรดปัจจุบัน หรือใช้ระดับแนวรับแนวต้านที่ใกล้เคียงเพื่อกำหนดจุดหยุดขาดทุนที่มีความเหมาะสม
การตั้งจุดทำกำไรสามารถทำได้โดยการกำหนดระดับที่ต้องการ หรือใช้การวิเคราะห์แนวโน้มของ Renko Chart เพื่อกำหนดจุดทำกำไรที่คาดหวัง การทำกำไรจากการเทรดด้วย Renko Chart จะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์แนวโน้มและการคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต
กลยุทธ์การเทรด Renko Chart เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเทรดที่ต้องการวิเคราะห์แนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาดการเงิน ความเรียบง่ายของ Renko Chart ช่วยให้นักเทรดสามารถมองเห็นแนวโน้มและแนวรับแนวต้านได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานในกลยุทธ์การเทรดต่างๆ ทั้งการเทรดตามแนวโน้ม การกลับตัวของแนวโน้ม และการ Breakout การทำความเข้าใจและการใช้งานกลยุทธ์เหล่านี้อย่างเหมาะสมจะช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดการเงินที่มีความผันผวน