Published on May 20, 2024
Ascending Triangle เป็นรูปแบบกราฟราคาที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต โดยลักษณะสำคัญของรูปแบบนี้ประกอบด้วยเส้นแนวต้านที่เป็นเส้นตรงในแนวราบ และเส้นแนวรับที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งราคามีการแกว่งตัวในช่วงแคบลง ก่อนจะเกิดการ Breakout ผ่านเส้นแนวต้านขึ้นไปในที่สุด ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกต่อการทะยานขึ้นของราคาในระยะข้างหน้า
ในการสร้างรูปแบบ Ascending Triangle ราคาจะเคลื่อนไหวขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ระดับราคาเดิม 2-3 ครั้ง โดยที่ไม่สามารถผ่านเส้นแนวต้านนี้ขึ้นไปได้ การกำหนดระดับของแนวต้านอาจใช้จุดสูงสุด 2-3 จุดที่อยู่ในระดับราคาใกล้เคียงกันมาลากเป็นเส้นตรงในแนวราบ ซึ่งบ่งบอกถึงแรงขายที่เข้ามาตั้งแต่ราคายังไม่สามารถผ่านจุดนี้ไปได้ และเป็นแนวต้านที่มีนัยยะสำคัญเมื่อสามารถ Breakout ขึ้นไปได้ในภายหลัง
หลังจากการพยายาม Breakout แนวต้านแต่ไม่สำเร็จ ราคามักจะย่อตัวลงมาสร้างจุดต่ำ ซึ่งจุดต่ำของแต่ละครั้งมักจะอยู่ในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ การลากเส้นเชื่อมต่อระหว่างจุดต่ำเหล่านี้จะกลายเป็นเส้นแนวรับที่เอียงขึ้น ซึ่งบ่งบอกถึงแรงซื้อที่เข้ามาคอยประคองราคาไม่ให้ร่วงลงมากนัก โดยเส้นแนวรับที่ชันขึ้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงถึงแรงซื้อที่มีมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้ราคาถูกดันให้ขยับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้เส้นแนวต้านมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง
จุดสำคัญของการเกิด Ascending Triangle คือการที่จุดสูงสุดถูกจำกัดอยู่ในระดับเดิม แต่ขณะเดียวกันจุดต่ำสุดจะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบลง ลักษณะเช่นนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงแรงซื้อที่มากขึ้น ขณะที่แรงขายเริ่มอ่อนแอลง และในที่สุดเมื่อแรงซื้อมีมากพอ ราคาก็จะสามารถ Breakout ผ่านเส้นแนวต้านขึ้นไปได้ ดังนั้นการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายร่วมด้วย ก็จะช่วยบ่งชี้ถึงภาวะของอุปสงค์อุปทานที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงการสร้างรูปแบบได้
การที่ราคาสามารถ Breakout ผ่านเส้นแนวต้านขึ้นไปได้ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้การเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น โดยเฉพาะหากการ Breakout นั้นมีแท่งเทียนที่มีขนาดใหญ่และปิดราคาสูงกว่าแนวต้านอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นหากมีโวลุ่มหนาแน่นประกอบการ Breakout ด้วย ก็จะยิ่งเป็นการส่งสัญญาณที่แข็งแกร่งถึงแรงซื้อที่มีอิทธิพลเข้ามาในตลาด และมักจะมีโอกาสทำให้ราคาวิ่งไปต่อได้อีกระยะหนึ่ง
เมื่อราคาสามารถผ่านแนวต้านขึ้นไปได้แล้ว อาจจะมีการย้อนกลับมาทดสอบแนวต้านเดิมอีกครั้งในฐานะของแนวรับใหม่ ซึ่งการที่ราคาไม่สามารถกลับมาต่ำกว่าแนวรับนี้ได้ จะเป็นการยืนยันอีกชั้นหนึ่งว่า แนวโน้มขาขึ้นนั้นสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างแข็งแกร่ง การเข้าสถานะซื้อเมื่อราคาขยับตัวขึ้นจากการทดสอบแนวรับใหม่นี้ จึงถือเป็นอีกจังหวะที่ลงทุนได้ผลดีทีเดียว
นอกจากการ Breakout ของราคาแล้ว ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วง Breakout ก็เป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นเช่นกัน โดยการวิเคราะห์ควรติดตามโวลุมควบคู่ไปกับราคา เพราะหากโวลุมเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคา ก็จะสะท้อนถึงภาวะของอุปสงค์ที่กำลังไล่ตามราคาขึ้น ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาขยับตัวได้อย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากเห็นการ Breakout ที่ปริมาณการซื้อขายลดลง ต้องระวังความน่าเชื่อถือของสัญญาณในครั้งนั้นเป็นพิเศษ
เมื่อราคาสามารถยืนยันการ Breakout แล้ว การคำนวณหาระดับเป้าหมายเพื่อทำกำไรก็จะช่วยให้วางแผนการเทรด Forex ได้ง่ายขึ้น โดยหลักการที่นิยมใช้คือการวัดความสูงของรูปสามเหลี่ยม ตั้งแต่จุด Breakout จนถึงฐานของแนวรับ จากนั้นนำระยะทางแนวตั้งนี้ไปบวกเพิ่มจากจุดที่ราคา Breakout ขึ้นมา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะกลายเป็นระดับเป้าหมายราคาสำหรับการทำกำไรนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าราคา Breakout ที่ระดับ 100 และความสูงของสามเหลี่ยมอยู่ที่ 20 จุด เป้าหมายราคาก็จะเท่ากับ 100 + 20 = 120 เป็นต้น
เมื่อราคาผ่านแนวต้านขึ้นไปพร้อมกับมีโวลุมที่สูงขึ้นอย่างมีนัยยะ แสดงถึงโอกาสในการเปิดสถานะซื้อ โดยอาจรอจังหวะให้ราคาปรับตัวลงมาเพื่อ Retest แนวต้านเดิมก่อนเข้าสถานะซื้อ และอาจวางระดับ Stop Loss ไว้ที่บริเวณใต้เส้นแนวต้านเล็กน้อย ส่วนระดับเป้าหมายทำกำไร ให้ใช้หลักการคำนวณโดยนำความสูงของรูปสามเหลี่ยมไปบวกเพิ่มจากจุด Breakout
นอกจากการซื้อตาม Breakout แล้ว เรายังอาจใช้โอกาสจากการทดสอบซ้ำเส้นแนวต้านเดิมเป็นจังหวะในการสะสมสถานะเพิ่มเติมก็ได้ โดยให้สังเกตโวลุมที่ลดลงขณะราคาปรับฐานกลับมาที่แนวรับ จากนั้นเมื่อราคาดีดตัวกลับขึ้นอีกครั้งด้วยโวลุมที่เพิ่มขึ้น จะเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการซื้อตาม โดยอาจทยอยซื้อและวาง Stop Loss ไว้ใต้แนวรับ ส่วนเป้าทำกำไรให้คำนวณแบบเดียวกับการเทรดตาม Breakout
ในการจัดพอร์ตการลงทุนโดยใช้สัญญาณจาก Ascending Triangle อาจเริ่มต้นจากการคัดกรองหุ้นที่มีโอกาสเกิดสัญญาณ และทยอยสะสมเมื่อเริ่มเห็นรูปแบบที่ชัดเจน จากนั้นเมื่อเกิดสัญญาณ Breakout ที่น่าเชื่อถือก็ค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนการถือครอง โดยคำนึงถึงการกระจายความเสี่ยงในระดับหนึ่ง และคอยติดตามความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ