Published on May 29, 2024
Carry Trade คือ กลยุทธ์การลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) ที่มุ่งเน้นการแสวงหาผลตอบแทนจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงิน โดยอาศัยหลักการกู้ยืมเงินในสกุลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ แล้วนำเงินไปลงทุนในสกุลเงินที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย
หลักการสำคัญของ Carry Trade คือการกู้ยืมเงินในสกุลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ (Low-yielding currency) จากนั้นนำเงินที่กู้มาแปลงเป็นสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า (High-yielding currency) และนำไปลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย (Interest rate differential) นอกจากนี้ ยังสามารถทำกำไรเพิ่มเติมจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสองสกุลเงินนั้นอีกด้วย
ตัวอย่างของ Carry Trade
สมมติให้สกุลเงินเยน (JPY) มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ในขณะที่สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า นักลงทุนอาจทำ Carry Trade โดยกู้ยืมเงินสกุลเยน แล้วนำไปแปลงเป็นสกุลดอลลาร์ออสเตรเลีย จากนั้นนำเงินดอลลาร์ออสเตรเลียไปลงทุนเพื่อรับดอกเบี้ยที่สูงกว่า พร้อมกับหวังผลกำไรจากการแข็งค่าของดอลลาร์ออสเตรเลียเมื่อเทียบกับเงินเยนในอนาคต
อัตราดอกเบี้ย
ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการทำ Carry Trade เนื่องจากเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนหลักของกลยุทธ์นี้ การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในประเทศใดประเทศหนึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความน่าสนใจและความเสี่ยงของการทำ Carry Trade
อัตราแลกเปลี่ยน
นอกเหนือจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยแล้ว การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างคู่สกุลเงินที่เลือกลงทุนก็มีผลอย่างมากต่อผลกำไรหรือขาดทุนของ Carry Trade โดยการแข็งค่าของสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงจะทำให้ได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน หากสกุลเงินดังกล่าวอ่อนค่าลง ก็อาจส่งผลให้เกิดการขาดทุนแม้ว่าจะได้รับดอกเบี้ยสูงก็ตาม
ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง
สภาวะทางเศรษฐกิจและการเมืองของแต่ละประเทศเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตามองเมื่อทำ Carry Trade ความมั่นคงและการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงเสถียรภาพทางการเมือง จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ในทางตรงกันข้าม ความไม่แน่นอนหรือวิกฤตการณ์ใดๆ อาจนำมาซึ่งความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นความเสี่ยงหลักของการทำ Carry Trade เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้อาจทำให้เกิดผลขาดทุนอย่างมหาศาลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงเกิดการอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว มูลค่าเงินลงทุนและผลกำไรจาก Carry Trade ก็จะลดลงตามไปด้วย
การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศสามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อความน่าสนใจของ Carry Trade หากประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ผลตอบแทนที่ได้รับจาก Carry Trade ก็จะลดลงตามไปด้วย ในทางกลับกัน การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศที่เป็นแหล่งกู้ยืมเงินจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรจากกลยุทธ์นี้ลดลงเช่นกัน
สภาพคล่องของคู่สกุลเงินที่เลือกลงทุนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณา การลงทุนในสกุลเงินที่มีสภาพคล่องต่ำอาจทำให้เกิดความยากลำบากในการซื้อขายและปิดสถานะเมื่อต้องการ ยิ่งไปกว่านั้น ในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย (Bid-ask spread) ของคู่สกุลเงินอาจขยายตัวกว้างมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนในการทำ Carry Trade สูงขึ้นตามไปด้วย
การทำ Carry Trade มักมีการใช้เลเวอเรจ หรือการกู้ยืมเงินเพื่อเพิ่มขนาดของเงินลงทุน ซึ่งแม้ว่าจะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ก็ทำให้ระดับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อใช้เลเวอเรจในระดับที่สูงเกินไป หากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้ ก็อาจทำให้เกิดผลขาดทุนอย่างหนักและรวดเร็วได้ในเวลาอันสั้น
การเลือกคู่สกุลเงินที่เหมาะสมถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำ Carry Trade นักลงทุนต้องศึกษาและเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของแต่ละประเทศอย่างละเอียด เพื่อค้นหาคู่สกุลเงินที่มีความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุด นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศนั้นๆ ที่อาจส่งผลต่อทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตอีกด้วย
การกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และการวางแผนจัดการความเสี่ยงล่วงหน้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำ Carry Trade การใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) หรือสัญญาสิทธิ (Options) สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้ในระดับหนึ่ง รวมถึงการกระจายการลงทุนในหลายคู่สกุลเงินก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการบริหารความเสี่ยงที่ดี
ตลาด Forex มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจและการเมืองจึงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์และสถานะการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การเข้าใจและตอบสนองต่อข้อมูลข่าวสารได้อย่างทันท่วงทีจะช่วยให้การทำ Carry Trade มีประสิทธิภาพและความเสี่ยงที่ลดลง
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์แนวโน้มของค่าเงินและกำหนดจุดเข้าและออกจากตลาดได้อย่างเหมาะสม การติดตามแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ รวมถึงการใช้อินดิเคเตอร์ต่างๆ จะช่วยให้การตัดสินใจลงทุนมีหลักการและเหตุผลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จึงควรใช้ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อให้ได้มุมมองที่รอบด้านและการตัดสินใจลงทุนที่แม่นยำยิ่งขึ้น