CPI คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ในตลาด Forex

Published on June 14, 2024

ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวัดระดับเงินเฟ้อและติดตามการเปลี่ยนแปลงของค่าครองชีพ บทความนี้จะอธิบายถึงแนวคิดพื้นฐาน องค์ประกอบ วิธีการคำนวณ รวมถึงการนำดัชนี CPI ไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์และกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ

 

ความสำคัญของ CPI ในการเปลี่ยนแปลงบนตลาดเงิน

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เป็นดัชนีที่วัดการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของระดับราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคซื้อเพื่อการอุปโภคบริโภค ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เมื่อเทียบกับระดับราคาในปีฐาน (Base Year) โดยมีการกำหนดตระกร้าสินค้าและบริการที่ใช้เป็นตัวแทนการใช้จ่ายของผู้บริโภค และให้น้ำหนักความสำคัญแก่สินค้าแต่ละประเภทตามสัดส่วนของค่าใช้จ่าย

 

เปิดบัญชีเทรดที่ ALPFOREX

 

ความเป็นมาของการจัดทำ CPI

แนวคิดในการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคเริ่มขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงของค่าครองชีพของแรงงาน ต่อมามีการพัฒนาวิธีการจัดทำดัชนีให้มีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น และขยายขอบเขตให้ครอบคลุมการใช้จ่ายของผู้บริโภคทั่วไป ปัจจุบันการจัดทำ CPI เป็นภารกิจสำคัญของหน่วยงานสถิติหรือธนาคารกลางในหลายประเทศทั่วโลก

บทบาทและความสำคัญของ CPI ต่อระบบเศรษฐกิจ

CPI มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจในหลายด้าน ได้แก่

  • เป็นเครื่องมือในการวัดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาสินค้าและค่าครองชีพ
  • ใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายการเงินและการคลัง เพื่อควบคุมเงินเฟ้อและกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • เป็นเกณฑ์ในการปรับค่าจ้างแรงงาน บำนาญ และสวัสดิการต่างๆ ให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลงไป
  • ใช้ในการวิเคราะห์และเปรียบเทียบระดับราคาสินค้า รายได้ที่แท้จริง และมาตรฐานการครองชีพ ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ

 

วิธีการคำนวณ CPI และองค์ประกอบที่สำคัญ

วิธีการคำนวณ CPI และองค์ประกอบที่สำคัญ

การกำหนดตระกร้าสินค้าและบริการ

การจัดทำดัชนี CPI เริ่มต้นจากการกำหนดตระกร้าสินค้าและบริการที่เป็นตัวแทนการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยมีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือก ดังนี้

  • เป็นสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคซื้อเป็นประจำเพื่อการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน
  • มีความสำคัญต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคส่วนใหญ่ โดยพิจารณาจากสัดส่วนของค่าใช้จ่ายในแต่ละหมวดสินค้า
  • สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลราคาได้อย่างต่อเนื่องและน่าเชื่อถือ

นอกจากนี้ เนื่องจากรูปแบบการบริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จึงต้องมีการปรับปรุงตระกร้าสินค้าและบริการเป็นระยะๆ เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

การเก็บรวบรวมข้อมูลราคา

หลังจากกำหนดตระกร้าสินค้าและบริการแล้ว จะต้องทำการเก็บรวบรวมข้อมูลราคาจากแหล่งต่างๆ ได้แก่

  • การสำรวจราคาขายปลีกจากร้านค้าและแหล่งจำหน่ายสินค้าโดยตรง
  • ข้อมูลราคาจากผู้ผลิต ผู้นำเข้า และหน่วยงานกำกับดูแลราคาสินค้า
  • การประมาณราคาสินค้าและบริการบางรายการที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้โดยตรง เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าบริการสาธารณสุข เป็นต้น

การเก็บข้อมูลราคามักจะทำเป็นรายเดือน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของแหล่งจำหน่ายสินค้าในแต่ละพื้นที่ และมีการควบคุมคุณภาพของข้อมูลให้มีความถูกต้องน่าเชื่อถือ

สูตรและวิธีการคำนวณดัชนี CPI

เมื่อได้ข้อมูลราคาของสินค้าและบริการแล้ว จะนำมาคำนวณหาดัชนีราคาผู้บริโภค โดยใช้สูตรดังนี้

CPI = (Sum(P1 x Q0) / Sum(P0 x Q0)) x 100

โดยที่ P1 คือ ราคาสินค้าในปีปัจจุบัน, P0 คือ ราคาสินค้าในปีฐาน, Q0 คือ ปริมาณการบริโภคสินค้าในปีฐาน

ตัวอย่างเช่น สมมติให้ตระกร้าสินค้ามี 2 รายการ คือ ข้าวสาร 1 กก. และไข่ไก่ 1 ฟอง โดยในปีฐานข้าวสารราคา 30 บาท บริโภค 5 กก. และไข่ไก่ราคา 5 บาท บริโภค 30 ฟอง ส่วนในปีปัจจุบัน ข้าวสารราคา 35 บาท และไข่ไก่ราคา 7 บาท

CPI = ((35 x 5)+(7 x 30)) / ((30 x 5)+(5 x 30)) x 100 = 385 / 300 x 100 = 128.33

ดังนั้น ดัชนี CPI ของตระกร้าสินค้านี้ในปีปัจจุบัน เท่ากับ 128.33 เมื่อเทียบกับปีฐาน

 

การใช้ประโยชน์จากดัชนี CPI ในอัตราเงินเฟ้อ

การใช้ประโยชน์จากดัชนี CPI ในอัตราเงินเฟ้อ

CPI กับการวัดอัตราเงินเฟ้อ

ดัชนี CPI เป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งหมายถึง ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อำนาจซื้อของเงินลดลง

การคำนวณอัตราเงินเฟ้อจากดัชนี CPI ทำได้โดยใช้สูตร

อัตราเงินเฟ้อ = (CPI ปีปัจจุบัน - CPI ปีก่อน) / CPI ปีก่อน x 100

ตัวอย่างเช่น ถ้า CPI ปี 2022 เท่ากับ 120 และ CPI ปี 2021 เท่ากับ 115

อัตราเงินเฟ้อ = (120 - 115) / 115 x 100 = 4.35%

หมายความว่า ระดับราคาสินค้าโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4.35% ในปี 2022 เมื่อเทียบกับปี 2021

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงดัชนี CPI

การเปลี่ยนแปลงของดัชนี CPI ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจ ได้แก่

  • ผลต่อค่าครองชีพและอำนาจซื้อของผู้บริโภค: เมื่อ CPI ปรับเพิ่มขึ้น หมายถึงระดับราคาสินค้าสูงขึ้น ทำให้อำนาจซื้อของผู้บริโภคลดลง ส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้นหากรายได้ไม่เพิ่มขึ้นตาม
  • ผลต่อต้นทุนการผลิตและราคาสินค้า: เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตอาจต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้องปรับราคาสินค้าขึ้นตาม ซึ่งอาจกระทบต่อยอดขายและความสามารถในการแข่งขัน
  • ผลต่อการกำหนดนโยบายการเงินและการคลัง: ธนาคารกลางใช้ข้อมูล CPI ในการกำหนดนโยบายการเงิน เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ย การควบคุมปริมาณเงิน เพื่อให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่วนรัฐบาลใช้ข้อมูล CPI ประกอบการวางแผนนโยบายการคลัง เช่น การปรับอัตราภาษี การใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ

 

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

crossmenu