Market Profile คืออะไร และใช้ในการวิเคราะห์ตลาด Forex อย่างไร

Published on July 9, 2024

Market Profile เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงในการศึกษาพฤติกรรมตลาด ถูกคิดค้นโดย J. Peter Steidlmayer ในทศวรรษ 1980 เพื่อใช้ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในตลาดการเงินต่างๆ Market Profile นำเสนอข้อมูลการซื้อขายในรูปแบบกราฟแท่งแนวนอน แสดงการกระจายตัวของราคาและปริมาณการซื้อขายในช่วงเวลาหนึ่ง ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

องค์ประกอบพื้นฐานของ Market Profile

องค์ประกอบพื้นฐานของ Market Profile ประกอบด้วยหลายส่วนสำคัญ Time Price Opportunity (TPO) คือหน่วยย่อยที่สุดของ Market Profile แสดงช่วงราคาที่มีการซื้อขายในแต่ละช่วงเวลา Value Area เป็นพื้นที่ที่มีการซื้อขายมากที่สุด โดยทั่วไปคือ 70% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด แสดงถึงช่วงราคาที่ตลาดให้ความสนใจมากที่สุด Point of Control (POC) คือระดับราคาที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด เป็นจุดสมดุลของตลาดและมักเป็นแนวรับแนวต้านที่สำคัญ Initial Balance (IB) คือช่วงราคาในชั่วโมงแรกของการซื้อขาย ใช้ประเมินความผันผวนและทิศทางของตลาดในวันนั้น

การอ่านและตีความ Market Profile มีหลากหลายลักษณะ

การอ่านและตีความ Market Profile เป็นทักษะสำคัญสำหรับนักลงทุน รูปแบบของ Profile มีหลายลักษณะ เช่น รูปตัว P แสดงแนวโน้มขาขึ้น รูปตัว b แสดงแนวโน้มขาลง และรูปสมมาตรแสดงตลาดที่มีความสมดุล การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างวันโดยเปรียบเทียบ Value Area และ POC ของแต่ละวัน ช่วยให้เห็นแนวโน้มของตลาดได้ชัดเจนขึ้น การระบุแนวโน้มตลาดทำได้โดยดูการเคลื่อนที่ของ POC และ Value Area ว่าสูงขึ้น ต่ำลง หรืออยู่ในระดับใกล้เคียงกัน

 

กลยุทธ์การเทรด Market Profile โดยใช้รูปแบบต่างๆ

กลยุทธ์การเทรด Market Profile โดยใช้รูปแบบต่างๆ

กลยุทธ์การเทรดโดยใช้ Market Profile มีหลายรูปแบบ การเทรดตาม Value Area โดยเข้าซื้อเมื่อราคาทะลุ Value Area ด้านบนและเข้าขายเมื่อราคาหลุด Value Area ด้านล่าง การใช้ POC เป็นแนวรับแนวต้านในการเข้าซื้อหรือขาย การเทรดจาก Initial Balance โดยเข้าซื้อเมื่อราคาทะลุ IB ด้านบนและเข้าขายเมื่อราคาหลุด IB ด้านล่าง นอกจากนี้ยังมีการใช้ Excess และ Poor High/Low เป็นจุดกลับตัวที่สำคัญ

การเทรดตาม Value Area

  • หลักการ: Value Area แสดงช่วงราคาที่มีการซื้อขายมากที่สุด (ประมาณ 70% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด)
  • กลยุทธ์:
    • เข้าซื้อเมื่อราคาทะลุ Value Area ด้านบน คาดว่าราคาจะปรับตัวขึ้นต่อ
    • เข้าขายเมื่อราคาหลุด Value Area ด้านล่าง คาดว่าราคาจะปรับตัวลงต่อ
    • ใช้ขอบของ Value Area เป็นจุดตัดขาดทุน
  • ข้อควรระวัง: ตรวจสอบปัจจัยอื่นๆ ประกอบ เช่น แนวโน้มหลักของตลาด

การใช้ POC เป็นแนวรับแนวต้าน

  • หลักการ: Point of Control (POC) คือระดับราคาที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด มักเป็นจุดสมดุลของตลาด
  • กลยุทธ์:
    • ใช้ POC เป็นจุดเข้าซื้อในตลาดขาขึ้น เมื่อราคาย่อตัวลงมาที่ POC
    • ใช้ POC เป็นจุดเข้าขายในตลาดขาลง เมื่อราคาดีดตัวขึ้นมาที่ POC
    • ใช้ POC เป็นจุดตั้งเป้าหมายกำไรเมื่อราคาเคลื่อนที่เข้าหา POC
  • ข้อควรระวัง: POC อาจเปลี่ยนแปลงได้ในระหว่างวัน ควรติดตามการเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด

การเทรดจาก Initial Balance

  • หลักการ: Initial Balance (IB) คือช่วงราคาในชั่วโมงแรกของการซื้อขาย แสดงความคาดหวังเบื้องต้นของตลาด
  • กลยุทธ์:
    • เข้าซื้อเมื่อราคาทะลุ IB ด้านบน คาดว่าจะเกิด Trend Day ขาขึ้น
    • เข้าขายเมื่อราคาหลุด IB ด้านล่าง คาดว่าจะเกิด Trend Day ขาลง
    • หากราคาอยู่ในกรอบ IB อาจเป็นวันที่ตลาดไซด์เวย์
  • ข้อควรระวัง: ควรรอให้เกิดการ Break out ที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรด

 

เปิดบัญชีเทรดที่ ALPFOREX

 

การใช้ Excess และ Poor High/Low

  • หลักการ: Excess คือการที่ราคาวิ่งเกินขอบเขตปกติแล้วกลับตัวอย่างรวดเร็ว Poor High/Low คือจุดสูงสุด/ต่ำสุดที่มีปริมาณการซื้อขายน้อย
  • กลยุทธ์:
    • ใช้ Excess เป็นจุดกลับตัวที่สำคัญ เข้าเทรดในทิศทางตรงข้ามกับ Excess
    • มองหาโอกาสเข้าซื้อที่ Poor Low และเข้าขายที่ Poor High
    • ใช้ Poor High/Low เป็นจุดตั้งเป้าหมายกำไร
  • ข้อควรระวัง: ต้องแน่ใจว่าเป็น Excess หรือ Poor High/Low ที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรด

การเทรดตามรูปแบบของ Profile

  • หลักการ: รูปแบบของ Profile สะท้อนพฤติกรรมของตลาดในวันนั้นๆ
  • กลยุทธ์:
    • รูปตัว P (ขาขึ้น): เน้นการเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัว
    • รูปตัว b (ขาลง): เน้นการเข้าขายเมื่อราคาดีดตัว
    • รูปสมมาตร (ไซด์เวย์): เทรดในกรอบ เข้าซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้าน
    • Single Print Volume (SPV): มักเป็นจุดกลับตัวสำคัญ ใช้เป็นจุดเข้าเทรดหรือตั้งเป้าหมายกำไร
  • ข้อควรระวัง: รูปแบบอาจเปลี่ยนแปลงได้ในระหว่างวัน ควรยืนยันกับเครื่องมืออื่นๆ ประกอบ

การประยุกต์ใช้ Market Profile กับ Volume Profile

การประยุกต์ใช้ Market Profile ร่วมกับเครื่องมืออื่นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ การใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวโน้มช่วยยืนยันสัญญาณการเทรด การผสมผสานกับ Volume Profile ช่วยเสริมการวิเคราะห์จุดที่มีปริมาณการซื้อขายสูง การใช้ร่วมกับ Order Flow ช่วยให้เห็นพลวัตของตลาดได้ละเอียดยิ่งขึ้น และการประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์พื้นฐานช่วยในการตัดสินใจเมื่อมีข่าวสำคัญ

 

Market Profile

 

เทคนิคขั้นสูงในการใช้ Market Profile รวมถึงการวิเคราะห์หลายกรอบเวลา การใช้ในการบริหารความเสี่ยง การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ และการวางแผนการลงทุนระยะยาว เทคนิคเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้ Market Profile ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในสถานการณ์ที่หลากหลาย

ข้อดีและข้อจำกัดของ Market Profile

Market Profile มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ข้อดีคือการแสดงภาพรวมของพฤติกรรมตลาดได้ชัดเจน ช่วยระบุจุดสมดุลและจุดที่ตลาดให้ความสนใจ และเหมาะสำหรับการวิเคราะห์ในหลายกรอบเวลา ข้อจำกัดคือความซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและตีความ และอาจไม่เหมาะกับตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ การเอาชนะข้อจำกัดเหล่านี้ต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์

 

แนวโน้มในอนาคตของการเทรดผ่าน Market Profile

แนวโน้มและอนาคตของ Market Profile มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการนำ AI และ Machine Learning มาใช้ในการวิเคราะห์ Market Profile เพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในยุคของการเทรดความถี่สูง Market Profile ยังคงมีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์พฤติกรรมตลาดในระยะยาว

 

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

 

สรุปแล้ว Market Profile เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการวิเคราะห์ตลาด ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจพฤติกรรมและพลวัตของตลาดได้ลึกซึ้งขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจที่ถูกต้อง การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ และการประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด นักลงทุนควรใช้ Market Profile ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่รอบคอบและมีประสิทธิภาพสูงสุด

crossmenu