Swing Trade คืออะไร อีกหนึ่งสไตล์การเทรดยอดนิยม

Published on May 9, 2024

Swing Trade คือกลยุทธ์การเทรดที่มุ่งเน้นการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยมักจะถือสถานะเป็นระยะเวลาตั้งแต่หลายชั่วโมงจนถึงหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ เพื่อรอจังหวะราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ จุดมุ่งหมายของ Swing Trade คือการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นของราคา แต่ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหมือน Position Trade

 

ความแตกต่างระหว่าง Swing Trade กับ Day Trade และ Position Trade

  • Day Trade มุ่งเน้นการเปิดและปิดสถานะภายในวันเดียว โดยหวังผลกำไรจากการเคลื่อนไหวเล็กๆของราคา
  • Swing Trade ถือสถานะข้ามคืนเป็นระยะเวลาหลายวัน ถึง 1-2 สัปดาห์ เพื่อรอการแกว่งตัวของราคาในกรอบใหญ่
  • Position Trade มักถือสถานะเป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน โดยรอจังหวะของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตามเทรนด์ระยะยาว

 

วิธีการใช้งาน Swing Trade ยอดนิยม

วิธีการใช้งาน Swing Trade ยอดนิยม

  1. Swing Trade ตามเทรนด์ (Trend Following)

เป็นการเปิดสถานะไปในทิศทางของเทรนด์ระยะกลางถึงระยะยาว โดยรอจังหวะที่ราคาย่อตัวมาที่แนวรับหรือ Trendline ก่อนจะกลับตัววิ่งขึ้นต่อ ก็เข้าซื้อและคาดหวังว่าราคาจะกลับไปได้ไกลกว่าจุดสูงสุดครั้งก่อนหน้า

  1. Swing Trade สวนเทรนด์ (Counter-Trend)

เน้นการหาจังหวะเปิดสถานะสวนทางกับเทรนด์หลัก โดยรอให้ราคาวิ่งมาถึงแนวต้านสำคัญหรือเกิดภาวะ Overbought บนกราฟระยะสั้น แล้วค่อยเข้าขาย คาดหวังการย่อตัวลงมาระยะหนึ่งก่อนที่เทรนด์หลักจะทำงานต่อ

  1. Swing Trade ตามรูปแบบกราฟ (Chart Pattern Trading)

ใช้การวิเคราะห์รูปแบบกราฟ เช่น Head and Shoulders, Cup and Handle หรือ Wedge เพื่อคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้นถึงกลาง โดยรอการยืนยันสัญญาณจากการทะลุระดับสำคัญ เช่น คอของ Head and Shoulders หรือเส้นคอของ Cup and Handle

  1. Swing Trade ด้วยออสซิลเลเตอร์ (Oscillator-Based Swing Trading)

มุ่งหาสัญญาณซื้อขายด้วยตัวชี้วัดประเภทออสซิลเลเตอร์ เช่น RSI หรือ Stochastic โดยจะเข้าซื้อเมื่อตัวชี้วัดออกจากภาวะ Oversold และเปลี่ยนทิศทางขึ้น และจะขายออกเมื่อตัวชี้วัดเข้าสู่ภาวะ Overbought แล้วเริ่มพลิกกลับลงมา

อย่างไรก็ตามผู้เทรดสามารถเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและความเข้าใจในเครื่องมือต่างๆ รวมถึงควรปรับให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลาด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการทำกำไรจาก Swing Trade

 

เปิดบัญชีเทรดที่ ALPFOREX

 

การวิเคราะห์ทางเทคนิคใน Swing Trade

เนื่องจาก Swing Trade มุ่งเน้นการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นถึงกลาง จึงให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก โดยอาศัยการวิเคราะห์แนวรับแนวต้าน, ตัวชี้วัดทางเทคนิค, รูปแบบกราฟ และปริมาณการซื้อขาย เพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าและออกตลาด ทั้งนี้ผู้เทรดควรกำหนดระดับ stop loss และ take profit ที่ชัดเจนก่อนเปิดสถานะ และต้องยอมรับความเสี่ยงจากสถานะที่ถือข้ามคืน

 

Swing Trade 01

 

เครื่องมือสำคัญสำหรับ Swing Trade

การใช้แนวรับแนวต้านในการหาจังหวะเทรด

  • แนวรับ (Support) คือระดับราคาที่มีแรงซื้อหนุนเข้ามา ทำให้ราคาไม่ตกลงไปต่ำกว่านั้น
  • แนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่มีแรงขายกดดัน ทำให้ราคาไม่สามารถขึ้นไปสูงกว่านั้นได้
  • เมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป อาจกลายเป็นแนวรองรับใหม่ และหากราคาหลุดแนวรับลงมา แนวรับนั้นก็อาจกลายเป็นแนวต้านใหม่
  • Swing Trader มักรอจังหวะที่ราคาย่อตัวมาที่แนวรับแล้วดีดกลับขึ้น หรือวิ่งขึ้นไปชนแนวต้านแล้วอ่อนตัวลง เพื่อเข้าเปิดสถานะไปในทิศทางของเทรนด์

การใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น Moving Averages, RSI, MACD

  • Moving Averages (MA) : ใช้ดูทิศทางเทรนด์ หากราคาอยู่เหนือเส้น MA แนวโน้มเป็นขาขึ้น หากราคาต่ำกว่าแนวโน้มเป็นขาลง
  • Relative Strength Index (RSI): ใช้วัดภาวะ Overbought / Oversold โดยค่า RSI เหนือ 70 บ่งชี้ Overbought และต่ำกว่า 30 บ่งชี้ Oversold
  • Moving Average Convergence Divergence (MACD): ใช้ดูการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ย หากเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือ Signal Line สัญญาณซื้อ แต่ถ้าตัดลงมาใต้เป็นสัญญาณขาย

การวิเคราะห์รูปแบบกราฟ (Chart Patterns)

  • Head and Shoulders: เป็นรูปแบบกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง ประกอบด้วยยอด 3 ยอด โดยยอดกลางสูงที่สุด เมื่อราคาทะลุ Neckline ลงมา แสดงถึงการกลับตัวเป็นขาลง
  • Double Top & Double Bottom: เป็นรูปแบบที่มียอดหรือฐาน 2 จุดที่ระดับใกล้เคียงกัน หากราคาทะลุขึ้นเหนือยอดคู่เป็นสัญญาณซื้อ แต่หากทะลุหลุดฐานคู่ลงมาเป็นสัญญาณขาย
  • Flag & Pennant: มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมบนเทรนด์ขาขึ้นหรือลง บ่งบอกถึงการพักตัวของราคาก่อนจะวิ่งต่อในทิศทางเดิม

การติดตามปริมาณการซื้อขาย (Volume)

ปริมาณการซื้อขายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ Swing Trade ใช้ประกอบการตัดสินใจ เพราะสะท้อนถึงพลังของเทรนด์ในช่วงเวลานั้น โดยทั่วไปแล้ว

  • ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางของราคา บ่งชี้ถึงเทรนด์ที่แข็งแกร่ง
  • ปริมาณการซื้อขายที่ลดลงในทิศทางเดียวกับราคา อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัว
  • ระดับปริมาณการซื้อขายสูงมากหรือต่ำมากผิดปกติ อาจบ่งชี้ถึงจุดวกกลับของราคา
  • ควรสังเกตปริมาณซื้อขายควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวของราคาและตัวชี้วัดอื่นๆ ด้วย

 

Swing Trade 02

 

ข้อดีและข้อเสียของ Swing Trade

ข้อดี:

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลาเหมือน Day Trade
  • มีโอกาสทำกำไรต่อครั้งมากกว่า Day Trade
  • ค่าคอมมิชชั่นและค่าสเปรดต่อการเทรดต่ำกว่า Day Trade
  • เครียดน้อยกว่าเพราะไม่ต้องตัดสินใจภายใต้ความกดดันเวลาเหมือน Day Trade

ข้อเสีย:

  • ต้องยอมรับความเสี่ยงจากความผันผวนข้ามคืน (Overnight Risk)
  • ต้องใช้เงินทุนมากกว่าเพื่อรองรับความผันผวน
  • อาจพลาดจังหวะการทำกำไรระหว่างวัน เนื่องจากความถี่ในการเทรดน้อยกว่า
  • เทรดได้จำนวนครั้งน้อยกว่า Day Trade ทำให้มีโอกาสทำกำไรน้อยครั้งกว่าด้วย

 

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

 

Swing Trade เหมาะกับใครบ้าง

  • ต้องการทำกำไรในระยะสั้นถึงกลางจากการเคลื่อนไหวของราคา
  • ไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอตลอดทั้งวัน แต่สามารถติดตามกราฟได้ทุกวันหรือสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
  • ไม่ชอบความเครียดจากการเทรดระยะสั้นมากๆ แต่ต้องการความตื่นเต้นมากกว่าการ
crossmenu