การเทรดฟอเร็กซ์ หรือตลาดเงินตราต่างประเทศนั้น มาร์จิ้น หรือ margin คือ หลักประกัน (หรือการรักษาความปลอดภัยในบัญชี) ที่เทรดเดอร์ฝากเงินทุนไว้กับโบรกเกอร์ เพื่อให้ครอบคลุมความเสี่ยงของเทรดเดอร์กับโบรกเกอร์ โดยมากจะเป็นเศษส่วนของตำแหน่งการซื้อขายและแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ และสามารถคิดว่ามาร์จิ้น คือ เงินฝากสำหรับการซื้อขายที่เปิดอยู่ทั้งหมดในบัญชีของคุณ
โดยมาร์จิ้นในโบรกเกอร์ Forex จะเป็นตัวกำหนดเลเวอเรจสูงสุดที่เทรดเดอร์สามารถใช้ได้ในบัญชีเทรด ดังนั้น บางครั้งการซื้อขายด้วยเลเวอเรจจึงถูกเรียกว่า "การซื้อขายโดยใช้มาร์จิ้น"
เนื่องจากโบรกเกอร์แต่ละรายจะใช้มาร์จิ้น CFD ที่แตกต่างกัน จึงต้องทำความเข้าใจก่อนเลือกโบรกเกอร์ และเริ่มซื้อขายด้วยมาร์จิ้น ซึ่งการซื้อขายโดยใช้มาร์จิ้น อาจส่งผลที่แตกต่างกันไป และอาจส่งผลต่อผลการเทรดทั้งในทางบวกและทางลบ ซึ่งทั้งผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นและการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจะถูกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สมมติว่า โบรกเกอร์เสนอเลเวอเรจ 1:20 ในการซื้อขายฟอเร็กซ์ ซึ่งหมายความว่าในทุกๆ 20 หน่วยของสกุลเงินในตำแหน่งที่เปิดอยู่ จะต้องกันไว้ 1 หน่วยของสกุลเงินสำหรับเป็นมาร์จิ้น ฉะนั้น ถ้าขนาดของ position ที่ต้องการคือ 20 ดอลลาร์ มาร์จิ้นก็จะเท่ากับ 1 ดอลลาร์ ดังนั้น ในตัวอย่างนี้มาร์จิ้นก็จะเท่ากับ 1/20 หรือ 5%
ในทางกลับกัน หากโบรกเกอร์ต้องการมาร์จิ้น 10% เราสามารถคำนวณได้ว่าทุกๆ 10 ดอลลาร์ ที่ต้องการซื้อขาย เราต้องเตรียมมาร์จิ้นไว้ 1 ดอลลาร์ ดังนั้น ในตัวอย่างนี้ เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากการเทรดที่ 1:10
Free margin (ฟรีมาร์จิ้น) หลักประกันที่เหลือในบัญชี คือ จำนวนเงินในบัญชีการซื้อขายที่พร้อมใช้งานเพื่อเปิด position ใหม่ ซึ่งสามารถคำนวณได้โดยการลบ margin ที่ใช้ออกจากส่วนของบัญชี
แล้ว บัญชีทุนหรือบัญชี equity คือ อะไร ? กล่าวได่ว่า equity คือ ผลรวมของยอดเงินในบัญชีและกำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจาก position ที่เปิดอยู่ เมื่อเราพูดถึงยอดเงินในบัญชี เราจึงกำลังพูดถึงจำนวนเงินทั้งหมดที่ฝากในบัญชีซื้อขาย (ซึ่งรวมถึงมาร์จิ้นที่ใช้สำหรับ position ที่เปิดอยู่) หากคุณไม่ได้เปิดการซื้อขาย equity ก็จะเท่ากับยอดเงินในบัญชีซื้อขายนั่นเอง
ดังนั้น ความหมายโดยนัยของ Free margin คือ การรวมกำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจาก position ที่เปิดอยู่ โดยหากคุณมี position ที่เปิดอยู่และกำลังทำกำไรอยู่ คุณก็สามารถใช้กำไรนี้เป็นมาร์จิ้นเพิ่มเติมในการเปิด position ใหม่ในบัญชีซื้อขายได้
ตัวอย่างการคำนวณ Free Margin
หากเรามีบัญชีซื้อขายที่มียอดคงเหลือ $1,000 และ CFD margin 5% และต้องการเปิด position ที่มีค่าใช้จ่าย $8,000 ณ จุดเปิดการซื้อขาย จึงมีสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนี้
ยอดคงเหลือในบัญชี = $1,000
Margin = $400 (5% ของ $8,000)
Free Margin = $600 (Equity - Margin ที่ใช้)
Equity = $1,000
และหากมูลค่า position ของเราเพิ่มขึ้น ทำให้เรามีกำไรจากสถานะเปิดขึ้นจริง $50 บัญชีเทรดของเราก็จะมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
ยอดคงเหลือในบัญชี = $1,000
Margin = $400
Free Margin = $650
Equity = $1,050
margin ที่ใช้และยอดคงเหลือในบัญชีจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ free margin และ equity จะเพิ่มขึ้นจากกำไรจากสถานะเปิดใน position ที่เปิดอยู่ ทั้งนี้ เทรดเดอร์ต้องทราบว่าหากมูลค่าของ position ลดลง $50 แทนที่จะเพิ่มขึ้น free margin และ equity ก็จะลดลงในจำนวนที่เท่ากัน
Margin Level คือ ?
Margin level ใน Forex เป็นแนวคิดสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงอัตราส่วนของ equity กับ margin ที่ใช้โดยแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งสามารถคำนวณได้ ดังนี้
Margin Level = (Equity / Margin ที่ใช้) * 100
โบรกเกอร์ Forex จะใช้ margin level เพื่อกำหนดว่าเทรดเดอร์สามารถเปิด position ใหม่ได้หรือไม่ โดยหาก margin level 0% ก็หมายความว่าบัญชีไม่มี position ที่เปิดอยู่นั่นเอง ดังนั้น margin level 100% จึงหมายความว่า equity ของบัญชีเท่ากับ margin ที่ใช้ไป ซึ่งโบรกเกอร์จะไม่อนุญาตให้มีการซื้อขายเพิ่มเติมในบัญชีจนกว่าจะมีการฝากเงินเพิ่มเงินหรือทำกำไรจากสถานะเปิดเพิ่มเติม
หากคุณมียอดคงเหลือในบัญชี $10,000 และเปิด position ที่ต้องการมาร์จิ้นที่ $1,000
หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณและส่งผลให้เกิดการขาดทุนจากสถานะเปิดจำนวน $9,000 equity จะเป็น $1,000 (10,000 - 9,000 ดอลลาร์) เมื่อ equity จึงเท่ากับ margin ดังนั้น margin level จึงเป็น100% ซึ่งคุณจะไม่สามารถเปิด position ใหม่ในบัญชีได้อีกต่อไป ยกเว้นแต่ตลาดจะพลิกกลับทำให้เงินทุนของคุณเพิ่มขึ้นอีกครั้งหรือคุณฝากเงินเข้าบัญชีของคุณเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณ โบรกเกอร์ก็จะปิด position ที่เสียของคุณโดยอัตโนมัติ โดยขีดจำกัดโบรกเกอร์สามารถปิด position ได้จะขึ้นอยู่กับ margin level ซึ่งเรียกว่า stop out level ซึ่งแต่ละโบรกเกอร์ก็ตั้งค่าไว้แตกต่างกัน
ดังนั้น เมื่อถึงระดับ stop out โบรกเกอร์ก็จะปิด position ตามลำดับจากมากไปน้อย โดยเริ่มจาก position ที่ใหญ่ที่สุดก่อน ทั้งนี้ การปิด position ก็จะเป็นการปล่อยมาร์จิ้นที่ใช้ไป ซึ่งจะเป็นการเพิ่มระดับมาร์จิ้น และอาจนำมาร์จิ้นกลับมาเหนือระดับ stop out ได้ และหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณอีกครั้ง โบรกเกอร์ก็จะปิดสถานะต่อไป
Margin Call อาจเป็นหนึ่งในฝันร้ายที่สุดของเทรดเดอร์ margin Call คือ การแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์ว่าระดับ Margin ของคุณลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งเรียกว่าระดับ margin Call
ระดับ margin Call ใน CFD ของโบรกเกอร์ก็จะมีการคำนวณแตกต่างกัน แต่ทำหน้าที่เหมือนกันคือการเตือนว่าตลาดกำลังเคลื่อนไหวต่อต้านคุณก่อนระดับ stop out เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน ทั้งนี้ หากตลาดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและสวนทางกับคุณอย่างมาก เร็วจนโบรกเกอร์อาจทำ margin call ไม่ทันก่อนถึงระดับ stop out
ทั้งนี้ เราสามารถป้องกันการเกิด margin call ได้ด้วยการตรวจสอบยอดคงเหลือในบัญชีอย่างระมัดระวังเป็นประจำ รวมทั้งใช้คำสั่ง stop loss ในทุกๆ position ที่สร้างขึ้น นอกจากนี้ยังต้องบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมด้วย
Leverage หากอธิบายตามความหมายตรงๆ คือ “คานงัด” หรือ “คานทุ่นแรง” เป็นตัวช่วยทุ่นแรง ถ้าเรายกของด้วยมือ เราอาจจะยกของที่มีน้ำหนักมากไม่ได้ แต่ถ้าเราใช้คาดงัด งัดของที่หนักๆ เราก็อาจจะยกของที่มีน้ำหนักเดียวกัน ยกขึ้นได้อย่างง่ายดาย
การเลือก Leverage เปรียบเสมือนการวางแผน Money Management เบื้องต้น
เนื่องจาก Leverage คือหนึ่งในความเสี่ยง หากนักเก็งกำไรยอมรับความเสี่ยงที่มากเกินไป อาจจะส่งผลร้ายต่อเงินลงทุนก็เป็นได้
Leverage คือ ตัวทำให้การซื้อขาย Forex มากขึ้นแบบทวีคูณ
ตัวอย่าง Leverage 1:10
หมายถึง ถ้าคุณมีเงิน 1 บาท คุณจะสามารถซื้อของได้สูงถึง 10 บาท จากเงินที่มีแค่ 1 บาท
อีกความหมาย คือ ซื้อของได้มากกว่าเงินในกระเป๋าของคุณ 10 เท่า
ตัวอย่าง Leverage 1:100
หมายถึง ถ้าคุณมีเงิน 1 บาท คุณจะสามารถซื้อของได้สูงถึง 100 บาท จากเงินที่มีแค่ 1 บาท
อีกความหมาย คือ ซื้อของได้มากกว่าเงินในกระเป๋าของคุณ 100 เท่า
Leverage ใน Forex
ในตลาด Forex นักเก็งกำไรซื้อขายคู่เงิน ในหน่วย Lot และ 1 Lot นั้นมีมูลค่าประมาณ 100,000 Unit หากต้องใช้เงินของนักลงทุนเองทั้งหมดในการซื้อคู่เงินขนาด 1 Lot จะต้องใช้เงินทั้งหมดประมาณ 100,000$
ทุน 1,000$ เลือก Leverage 1:10 ออก Lot ได้สูงสุด 0.1 Lot
ทุน 1,000$ เลือก Leverage 1:100 ออก Lot ได้สูงสุด 1 Lot
ทุน 1,000$ เลือก Leverage 1:200 ออก Lot ได้สูงสุด 2 Lot
ทุน 1,000$ เลือก Leverage 1:500 ออก Lot ได้สูงสุด 5 Lot
ทุน 1,000$ เลือก Leverage 1:1,000 ออก Lot ได้สูงสุด 10 Lot
ทุน 1,000$ เลือก Leverage 1:2,000 ออก Lot ได้สูงสุด 20 Lot
การเลือก Leverage เปรียบเสมือนการวางแผน Money Management เบื้องต้น
เนื่องจาก Leverage คือหนึ่งในความเสี่ยง หากนักเก็งกำไรยอมรับความเสี่ยงที่มากเกินไป อาจจะส่งผลร้ายต่อเงินลงทุนก็เป็นได้
ตัวอย่างที่ 1
นาย ก มีเงินลงทุน 1,000$
ออก Lot ได้สูงสุด 1 Lot
เมื่อนาย ก ออก Lot สูงสุดขนาด 1 Lot
เมื่อเป็นขาดทุน 100 Pip นาย ก จะเจ๊งทันที
แต่ถ้าเป็นกำไร นาย ก จะได้กำไร 100 Pip เป็นเงิน 1,000$
ตัวอย่างที่ 2
นาย ข มีเงินลงทุน 1,000$
ออก Lot ได้สูงสุด 10 Lot
เมื่อนาย ข ออก Lot สูงสุดขนาด 10 Lot
เมื่อเป็นขาดทุน 10 Pip นาย ข จะเจ๊งทันที
แต่ถ้าเป็นกำไร นาย ข จะได้กำไร 100 Pip เป็นเงิน 10,000$
จากตัวอย่างเห็นได้ว่า นาย ก เสี่ยงน้อยกว่าอย่างชัดเจน เพราะเขาสามารถออก Lot ได้สูงสุดแค่ 1 Lot แต่ นาย ข มีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า เนื่องจากเขาสามารถออก Lot ได้สูงสุดถึง 10 Lot
Leverage คือ "ความเสี่ยง" หรือ "โอกาส"
Leverage เป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสในเวลาเดียวกัน การเลือก Leverage จำนวนมาก หมายถึง โอกาสในการทำกำไรมากและโอกาสในการล้างพอร์ตก็มากเช่นเดียวกัน
การเลือก Leverage จำนวนน้อย หมายถึง โอกาสในการทำกำไรน้อยและโอกาสในการล้างพอร์ตก็น้อยเช่นเดียวกัน
ทุกอย่างเป็นไปตามกฎ “High Risk High Return เสี่ยงมากกำไรมาก”
อย่างไรก็ตาม การเทรดที่ดีต้องคำนึงถึงความเสี่ยงเป็นอันดับแรก
บัญชีการเทรดคือบัญชีที่ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงตลาดการเงินในฐานะเทรดเดอร์หรือนักลงทุน คุณสามารถเลือกบัญชีการเทรดให้ตรงกับความเสี่ยงที่ยินดียอมรับ ประสบการณ์และระดับการลงทุนเบื้องต้นของคุณ