Currency Peg คืออะไร ข้อดี-ข้อเสีย และการทำงานของ Peg

Published on June 18, 2024

ในโลกของเศรษฐกิจและการเงินระหว่างประเทศ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นกลไกสำคัญที่มีผลต่อการค้า การลงทุน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ หนึ่งในระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ได้รับความนิยมคือ "Currency Peg" ซึ่งเป็นการผูกค่าเงินของประเทศหนึ่งกับสกุลเงินหลักอื่นๆ หรือตะกร้าสกุลเงิน บทความนี้จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Currency Peg ตั้งแต่นิยาม ประเภท กลไกการทำงาน ไปจนถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตัวอย่างของประเทศที่ใช้ระบบนี้

 

ความสำคัญและความหมายของ Currency Peg

ความสำคัญและความหมายของ Currency Peg

Currency Peg หมายถึง ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ประเทศหนึ่งผูกค่าเงินของตนกับสกุลเงินหลักอื่นๆ หรือตะกร้าสกุลเงิน โดยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่หรือกำหนดช่วงการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในกรอบที่กำหนด ทั้งนี้ ประเทศที่ใช้ระบบ Currency Peg จะต้องดำเนินนโยบายการเงินและแทรกแซงตลาดเพื่อรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนตามเป้าหมายที่กำหนด

จุดประสงค์ในการใช้ Currency Peg

ประเทศต่างๆ เลือกใช้ระบบ Currency Peg ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้

  • เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับค่าเงินและลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
  • เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสกุลเงินและระบบการเงินของประเทศ
  • เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
  • เพื่อควบคุมเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพของระดับราคาภายในประเทศ

ทำไมถึงมีระบบ Currency Peg ?

ระบบ Currency Peg มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ยุคมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 โดยในขณะนั้น ประเทศต่างๆ ผูกค่าเงินของตนกับทองคำเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน หลังจากการล่มสลายของระบบมาตรฐานทองคำ หลายประเทศหันมาใช้ระบบ Currency Peg โดยผูกค่าเงินกับสกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ หรือตะกร้าสกุลเงิน ในปัจจุบัน มีประเทศจำนวนมากยังคงใช้ระบบ Currency Peg ในรูปแบบต่างๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน

 

ประเภทของ Currency Peg

ประเภทของ Currency Peg

ระบบ Currency Peg สามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับระดับความเข้มงวดในการผูกค่าเงินและกลไกในการรักษาอัตราแลกเปลี่ยน ดังนี้

Soft Peg

Soft Peg เป็นระบบ Currency Peg ที่มีความยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง โดยอนุญาตให้ค่าเงินมีการเคลื่อนไหวได้ในกรอบที่กำหนด ตัวอย่างของ Soft Peg ได้แก่

  • Crawling Peg: ระบบที่ปรับอัตราแลกเปลี่ยนเป้าหมายทีละน้อยตามเวลาที่ผ่านไป
  • Crawling Band: ระบบที่กำหนดช่วงกว้างของอัตราแลกเปลี่ยนและปรับช่วงดังกล่าวตามเวลาที่ผ่านไป
  • Pegged within a Horizontal Band: ระบบที่กำหนดช่วงของอัตราแลกเปลี่ยนที่คงที่ โดยอนุญาตให้ค่าเงินเคลื่อนไหวได้ภายในช่วงนั้น

Hard Peg 

Hard Peg เป็นระบบ Currency Peg ที่มีความเข้มงวดในการผูกค่าเงินกับสกุลเงินหลักหรือสินทรัพย์อื่นๆ โดยไม่อนุญาตให้มีการเบี่ยงเบนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนด ตัวอย่างของ Hard Peg ได้แก่

  • Currency Board: ระบบที่ผูกค่าเงินกับสกุลเงินหลักในอัตราคงที่ และออกเงินที่มีสำรองเต็มจำนวนในรูปสกุลเงินหลักนั้น
  • Dollarization/Eurorization: การใช้สกุลเงินของประเทศอื่น เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือยูโร แทนสกุลเงินภายในประเทศ
  • Currency Union: การรวมกลุ่มของประเทศที่ใช้สกุลเงินร่วมกัน เช่น สหภาพยุโรปที่ใช้เงินยูโร

Hybrid Peg

Hybrid Peg เป็นระบบ Currency Peg ที่ผสมผสานลักษณะของ Soft Peg และ Hard Peg เข้าด้วยกัน ตัวอย่างของ Hybrid Peg ได้แก่

  • Basket Peg: ระบบที่ผูกค่าเงินกับตะกร้าสกุลเงินที่ประกอบด้วยสกุลเงินหลักหลายสกุล
  • Target Zone หรือ Crawling Peg with a Band: ระบบที่กำหนดช่วงเป้าหมายของอัตราแลกเปลี่ยน โดยอนุญาตให้มีการเคลื่อนไหวภายในช่วงดังกล่าว และปรับช่วงตามเวลาที่ผ่านไป

 

เปิดบัญชีเทรดที่ ALPFOREX

 

ระบบการทำงานของ Currency Peg มีอะไรบ้าง

การดำเนินระบบ Currency Peg ต้องอาศัยกลไกหลายอย่างเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนตามเป้าหมายที่กำหนด ดังนี้

การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเป้าหมาย

  • การเลือกสกุลเงินหลักที่ใช้อ้างอิง: ประเทศที่ใช้ระบบ Currency Peg จะต้องเลือกสกุลเงินหลักที่มีเสถียรภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ ยูโร หรือเยนญี่ปุ่น เพื่อใช้เป็นสกุลเงินอ้างอิงในการผูกค่าเงิน
  • การกำหนดระดับอัตราแลกเปลี่ยนเป้าหมาย: ประเทศจะต้องกำหนดระดับอัตราแลกเปลี่ยนเป้าหมายที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ระดับเงินเฟ้อ ขีดความสามารถในการแข่งขัน และดุลการค้า
  • การกำหนดช่วงกว้างของการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน: ในกรณีของ Soft Peg หรือ Hybrid Peg ประเทศจะกำหนดช่วงกว้างที่ยอมให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวได้ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง

การแทรกแซงตลาดเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน

  • การแทรกแซงโดยการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ: ธนาคารกลางจะเข้าแทรกแซงในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน โดยการซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศตามความจำเป็น เพื่อรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในกรอบที่กำหนด
  • การปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อดึงดูดหรือไล่กระแสเงินทุน: ธนาคารกลางอาจปรับเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อดึงดูดหรือไล่กระแสเงินทุนเข้าออกประเทศ ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน
  • การใช้มาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย: ในบางกรณี ประเทศอาจใช้มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ เพื่อจำกัดผลกระทบจากกระแสเงินทุนที่ผันผวนต่ออัตราแลกเปลี่ยน

การจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศ

  • ความสำคัญของการมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพียงพอ: ประเทศที่ใช้ระบบ Currency Peg จำเป็นต้องมีทุนสำรองระหว่างประเทศในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อใช้ในการแทรกแซงตลาดและรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน
  • แหล่งที่มาของทุนสำรองระหว่างประเทศ: ทุนสำรองระหว่างประเทศอาจมาจากหลายแหล่ง เช่น รายได้จากการส่งออก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการกู้ยืมจากตลาดการเงินระหว่างประเทศ
  • การบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อรักษา Currency Peg: ประเทศจำเป็นต้องบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยรักษาระดับทุนสำรองให้เพียงพอ และลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและสภาพคล่องสูง

 

ผลกระทบของ Currency Peg ต่อเศรษฐกิจ

การใช้ระบบ Currency Peg มีทั้งข้อดีและข้อเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศ ดังนี้

ข้อดีของ Currency Peg

  • การส่งเสริมความมีเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน: Currency Peg ช่วยลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนสามารถวางแผนการค้าและการลงทุนได้ดีขึ้น
  • การลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน: ความมีเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการและนักลงทุนต้องเผชิญ ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
  • การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ: ความมีเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เนื่องจากผู้ประกอบการและนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการวางแผนธุรกิจและการลงทุนมากขึ้น

ข้อเสียของ Currency Peg

  • การสูญเสียอิสรภาพในการดำเนินนโยบายการเงิน: ภายใต้ระบบ Currency Peg ประเทศจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่กำหนด ซึ่งอาจทำให้สูญเสียความสามารถในการใช้นโยบายการเงินเพื่อรองรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างอิสระ
  • ความเปราะบางต่อการโจมตีค่าเงินและวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ: ประเทศที่ใช้ระบบ Currency Peg อาจเผชิญกับความเสี่ยงจากการโจมตีค่าเงินโดยนักลงทุนหรือนักเก็งกำไร หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถในการรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนตามที่กำหนด นอกจากนี้ ประเทศเหล่านี้ยังอาจได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศที่ใช้สกุลเงินอ้างอิง
  • การบิดเบือนของอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงและการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน: ในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนถูกกำหนดไว้ในระดับที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อาจส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าหรืออ่อนค่าเกินไป ซึ่งจะบิดเบือนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และอาจนำไปสู่การเกินดุลหรือขาดดุลการค้าที่ไม่สมดุล

 

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

crossmenu