ในโลกของเศรษฐกิจและการเงินระหว่างประเทศ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นกลไกสำคัญที่มีผลต่อการค้า การลงทุน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ หนึ่งในระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ได้รับความนิยมคือ "Currency Peg" ซึ่งเป็นการผูกค่าเงินของประเทศหนึ่งกับสกุลเงินหลักอื่นๆ หรือตะกร้าสกุลเงิน บทความนี้จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Currency Peg ตั้งแต่นิยาม ประเภท กลไกการทำงาน ไปจนถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตัวอย่างของประเทศที่ใช้ระบบนี้
ความสำคัญและความหมายของ Currency Peg
Currency Peg หมายถึง ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ประเทศหนึ่งผูกค่าเงินของตนกับสกุลเงินหลักอื่นๆ หรือตะกร้าสกุลเงิน โดยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่หรือกำหนดช่วงการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในกรอบที่กำหนด ทั้งนี้ ประเทศที่ใช้ระบบ Currency Peg จะต้องดำเนินนโยบายการเงินและแทรกแซงตลาดเพื่อรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนตามเป้าหมายที่กำหนด
จุดประสงค์ในการใช้ Currency Peg
ประเทศต่างๆ เลือกใช้ระบบ Currency Peg ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้
เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับค่าเงินและลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสกุลเงินและระบบการเงินของประเทศ
เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
เพื่อควบคุมเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพของระดับราคาภายในประเทศ
ทำไมถึงมีระบบ Currency Peg ?
ระบบ Currency Peg มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ยุคมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 โดยในขณะนั้น ประเทศต่างๆ ผูกค่าเงินของตนกับทองคำเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน หลังจากการล่มสลายของระบบมาตรฐานทองคำ หลายประเทศหันมาใช้ระบบ Currency Peg โดยผูกค่าเงินกับสกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ หรือตะกร้าสกุลเงิน ในปัจจุบัน มีประเทศจำนวนมากยังคงใช้ระบบ Currency Peg ในรูปแบบต่างๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน
ประเภทของ Currency Peg
ระบบ Currency Peg สามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับระดับความเข้มงวดในการผูกค่าเงินและกลไกในการรักษาอัตราแลกเปลี่ยน ดังนี้
Soft Peg
Soft Peg เป็นระบบ Currency Peg ที่มีความยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง โดยอนุญาตให้ค่าเงินมีการเคลื่อนไหวได้ในกรอบที่กำหนด ตัวอย่างของ Soft Peg ได้แก่
Crawling Peg: ระบบที่ปรับอัตราแลกเปลี่ยนเป้าหมายทีละน้อยตามเวลาที่ผ่านไป
Crawling Band: ระบบที่กำหนดช่วงกว้างของอัตราแลกเปลี่ยนและปรับช่วงดังกล่าวตามเวลาที่ผ่านไป
Pegged within a Horizontal Band: ระบบที่กำหนดช่วงของอัตราแลกเปลี่ยนที่คงที่ โดยอนุญาตให้ค่าเงินเคลื่อนไหวได้ภายในช่วงนั้น
Hard Peg
Hard Peg เป็นระบบ Currency Peg ที่มีความเข้มงวดในการผูกค่าเงินกับสกุลเงินหลักหรือสินทรัพย์อื่นๆ โดยไม่อนุญาตให้มีการเบี่ยงเบนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนด ตัวอย่างของ Hard Peg ได้แก่
Currency Board: ระบบที่ผูกค่าเงินกับสกุลเงินหลักในอัตราคงที่ และออกเงินที่มีสำรองเต็มจำนวนในรูปสกุลเงินหลักนั้น
Dollarization/Eurorization: การใช้สกุลเงินของประเทศอื่น เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือยูโร แทนสกุลเงินภายในประเทศ
Currency Union: การรวมกลุ่มของประเทศที่ใช้สกุลเงินร่วมกัน เช่น สหภาพยุโรปที่ใช้เงินยูโร
Hybrid Peg
Hybrid Peg เป็นระบบ Currency Peg ที่ผสมผสานลักษณะของ Soft Peg และ Hard Peg เข้าด้วยกัน ตัวอย่างของ Hybrid Peg ได้แก่
Basket Peg: ระบบที่ผูกค่าเงินกับตะกร้าสกุลเงินที่ประกอบด้วยสกุลเงินหลักหลายสกุล
Target Zone หรือ Crawling Peg with a Band: ระบบที่กำหนดช่วงเป้าหมายของอัตราแลกเปลี่ยน โดยอนุญาตให้มีการเคลื่อนไหวภายในช่วงดังกล่าว และปรับช่วงตามเวลาที่ผ่านไป
ระบบการทำงานของ Currency Peg มีอะไรบ้าง
การดำเนินระบบ Currency Peg ต้องอาศัยกลไกหลายอย่างเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนตามเป้าหมายที่กำหนด ดังนี้
การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเป้าหมาย
การเลือกสกุลเงินหลักที่ใช้อ้างอิง: ประเทศที่ใช้ระบบ Currency Peg จะต้องเลือกสกุลเงินหลักที่มีเสถียรภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ ยูโร หรือเยนญี่ปุ่น เพื่อใช้เป็นสกุลเงินอ้างอิงในการผูกค่าเงิน
การกำหนดระดับอัตราแลกเปลี่ยนเป้าหมาย: ประเทศจะต้องกำหนดระดับอัตราแลกเปลี่ยนเป้าหมายที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ระดับเงินเฟ้อ ขีดความสามารถในการแข่งขัน และดุลการค้า
การกำหนดช่วงกว้างของการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน: ในกรณีของ Soft Peg หรือ Hybrid Peg ประเทศจะกำหนดช่วงกว้างที่ยอมให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวได้ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง
การแทรกแซงตลาดเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน
การแทรกแซงโดยการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ: ธนาคารกลางจะเข้าแทรกแซงในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน โดยการซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศตามความจำเป็น เพื่อรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในกรอบที่กำหนด
การปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อดึงดูดหรือไล่กระแสเงินทุน: ธนาคารกลางอาจปรับเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อดึงดูดหรือไล่กระแสเงินทุนเข้าออกประเทศ ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน
การใช้มาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย: ในบางกรณี ประเทศอาจใช้มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ เพื่อจำกัดผลกระทบจากกระแสเงินทุนที่ผันผวนต่ออัตราแลกเปลี่ยน
การจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศ
ความสำคัญของการมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพียงพอ: ประเทศที่ใช้ระบบ Currency Peg จำเป็นต้องมีทุนสำรองระหว่างประเทศในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อใช้ในการแทรกแซงตลาดและรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน
แหล่งที่มาของทุนสำรองระหว่างประเทศ: ทุนสำรองระหว่างประเทศอาจมาจากหลายแหล่ง เช่น รายได้จากการส่งออก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการกู้ยืมจากตลาดการเงินระหว่างประเทศ
การบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อรักษา Currency Peg: ประเทศจำเป็นต้องบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยรักษาระดับทุนสำรองให้เพียงพอ และลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและสภาพคล่องสูง
ผลกระทบของ Currency Peg ต่อเศรษฐกิจ
การใช้ระบบ Currency Peg มีทั้งข้อดีและข้อเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศ ดังนี้
ข้อดีของ Currency Peg
การส่งเสริมความมีเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน: Currency Peg ช่วยลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนสามารถวางแผนการค้าและการลงทุนได้ดีขึ้น
การลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน: ความมีเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการและนักลงทุนต้องเผชิญ ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ: ความมีเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เนื่องจากผู้ประกอบการและนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการวางแผนธุรกิจและการลงทุนมากขึ้น
ข้อเสียของ Currency Peg
การสูญเสียอิสรภาพในการดำเนินนโยบายการเงิน: ภายใต้ระบบ Currency Peg ประเทศจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่กำหนด ซึ่งอาจทำให้สูญเสียความสามารถในการใช้นโยบายการเงินเพื่อรองรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างอิสระ
ความเปราะบางต่อการโจมตีค่าเงินและวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ: ประเทศที่ใช้ระบบ Currency Peg อาจเผชิญกับความเสี่ยงจากการโจมตีค่าเงินโดยนักลงทุนหรือนักเก็งกำไร หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถในการรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนตามที่กำหนด นอกจากนี้ ประเทศเหล่านี้ยังอาจได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศที่ใช้สกุลเงินอ้างอิง
การบิดเบือนของอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงและการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน: ในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนถูกกำหนดไว้ในระดับที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อาจส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าหรืออ่อนค่าเกินไป ซึ่งจะบิดเบือนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และอาจนำไปสู่การเกินดุลหรือขาดดุลการค้าที่ไม่สมดุล