Published on August 23, 2024
การเทรดด้วยกลยุทธ์ Countertrend เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมในวงการ Forex และตลาดการเงินอื่น ๆ โดยกลยุทธ์นี้เน้นไปที่การทำกำไรจากการสวนทางกับแนวโน้มหลัก ซึ่งตรงข้ามกับกลยุทธ์ Trend Following ที่นิยมมากกว่า กลยุทธ์ Countertrend อาจให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นหากใช้ถูกต้อง แต่ก็มีความเสี่ยงที่มากขึ้นด้วย ดังนั้นการทำความเข้าใจและการใช้กลยุทธ์นี้อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
การเทรดแบบ Countertrend เป็นการเทรดที่สวนทางกับแนวโน้มหลักของตลาด เช่น หากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์ Countertrend จะมองหาจังหวะในการขาย (short) และในทางกลับกัน หากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง เทรดเดอร์จะมองหาจังหวะในการซื้อ (long) แนวคิดหลักของกลยุทธ์นี้คือการทำกำไรจากการกลับตัวของราคาในช่วงที่ตลาดมีการเคลื่อนไหวที่มากเกินไปหรือมีการผันผวนสูง
ในขณะที่กลยุทธ์ Trend Following มุ่งเน้นไปที่การติดตามแนวโน้มหลักของตลาด กลยุทธ์ Countertrend จะเน้นไปที่การทำกำไรจากการสวนทางกับแนวโน้ม โดยเชื่อว่าราคาจะมีการกลับตัวจากจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของแนวโน้มหนึ่ง ๆ กลยุทธ์ทั้งสองมีแนวทางการเทรดที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง และแต่ละกลยุทธ์มีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกันตามสภาวะตลาด
การวิเคราะห์แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ Countertrend เนื่องจากแนวรับและแนวต้านมักเป็นจุดที่ราคามีโอกาสสูงที่จะกลับตัว เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์นี้จะมองหาการสร้างตำแหน่งเมื่อราคามีการแตะหรือใกล้เคียงกับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ โดยคาดหวังว่าราคาจะไม่สามารถทะลุผ่านแนวเหล่านี้และจะกลับตัวในทิศทางตรงกันข้าม
Oscillators เช่น RSI (Relative Strength Index) หรือ Stochastic Oscillator เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการระบุการกลับตัวของราคา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในกลยุทธ์ Countertrend Oscillators ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุได้ว่าตลาดมีการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งเป็นสัญญาณว่าราคามีแนวโน้มที่จะกลับตัว
การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ในกลยุทธ์ Countertrend เนื่องจากการเทรดสวนทางกับแนวโน้มหลักมีความเสี่ยงที่สูงขึ้น เทรดเดอร์ควรกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ที่ชัดเจนและไม่เสี่ยงเกินไป การใช้ขนาดการเทรดที่เหมาะสมและการรักษาระดับความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้งให้อยู่ในระดับที่รับได้เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการสูญเสียที่ไม่จำเป็น
ก่อนที่จะเริ่มใช้กลยุทธ์ Countertrend เทรดเดอร์ควรสามารถระบุแนวโน้มหลักของตลาดได้อย่างชัดเจน การเข้าใจแนวโน้มหลักช่วยให้เทรดเดอร์สามารถกำหนดจุดที่จะเริ่มการเทรดสวนทางได้อย่างถูกต้อง เช่น การใช้ Moving Averages หรือการวิเคราะห์แผนภูมิราคาเพื่อระบุแนวโน้มหลักของตลาด
การเลือกจุดเข้าเทรดในกลยุทธ์ Countertrend เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ จุดเข้าที่ดีที่สุดมักเป็นจุดที่ราคามีการเบี่ยงเบนจากแนวโน้มหลักอย่างชัดเจน เช่น การแตะหรือทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ หรือการเกิด Divergence ระหว่างราคาและ Oscillator การรอให้ราคายืนยันการกลับตัวก่อนที่จะเข้าสู่การเทรดจะช่วยลดความเสี่ยงได้
การตั้งเป้าหมายกำไร (Take Profit) และจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) เป็นสิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องกำหนดไว้ล่วงหน้า การตั้งจุดหยุดขาดทุนที่เหมาะสมช่วยปกป้องทุนของเทรดเดอร์ในกรณีที่ตลาดไม่กลับตัวตามคาด ในขณะที่การตั้งเป้าหมายกำไรจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถปิดการเทรดเมื่อราคามีการกลับตัวไปถึงระดับที่ต้องการ
กลยุทธ์ Countertrend มีข้อดีหลายประการ หนึ่งในนั้นคือโอกาสในการทำกำไรจากการกลับตัวของราคาที่มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ตลาดมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรง กลยุทธ์นี้ยังสามารถใช้ได้ดีในตลาดที่มีความผันผวนต่ำหรือช่วงที่ตลาดอยู่ในระยะ Sideways ซึ่งเป็นสภาวะที่ราคามักกลับตัวบ่อย
แม้จะมีข้อดี แต่กลยุทธ์ Countertrend ก็มีข้อเสียที่ต้องระวัง หนึ่งในนั้นคือความเสี่ยงที่สูง เนื่องจากการเทรดสวนทางกับแนวโน้มหลักอาจนำไปสู่การสูญเสียที่มากกว่าหากตลาดไม่กลับตัวตามคาด นอกจากนี้ กลยุทธ์นี้ยังต้องการความสามารถในการวิเคราะห์และการตัดสินใจที่รวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่
การเทรดด้วยกลยุทธ์ Countertrend เป็นวิธีที่ท้าทายและมีโอกาสในการทำกำไรสูง แต่ก็ต้องการความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการวิเคราะห์ตลาด เทรดเดอร์ที่สามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้อย่างถูกต้องจะสามารถทำกำไรได้จากการกลับตัวของราคาในสภาวะตลาดที่ต่างกัน การศึกษาและฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้กลยุทธ์ Countertrend ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเทรด