เทรดสั้น-เทรดยาว ต่างกันยังไง แบบไหนดีกว่ากัน?

Published on May 27, 2024

การเทรดสั้น (Short-term Trading)

การเทรดสั้น หมายถึง รูปแบบการเทรดที่มีการเปิดและปิดออร์เดอร์ภายในระยะเวลาสั้นๆ นับตั้งแต่หลักนาทีจนถึงไม่กี่วัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสวงหากำไรทีละน้อยแต่ด้วยความถี่ที่บ่อยครั้ง ผ่านการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค, อินดิเคเตอร์, และสัญญาณการเทรดต่างๆ

ประเภทของการเทรดสั้น เช่น Scalping, Day Trading, Swing Trading

  • Scalping: เทรดในกรอบเวลาสั้นมาก มักไม่เกิน 5-15 นาที และหากำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงแคบๆ เพียงไม่กี่ Pips
  • Day Trading: เทรดภายในกรอบเวลา 1 วัน โดยจะไม่มีการถือครองออร์เดอร์ข้ามคืน และทำกำไรจากความผันผวนของราคาในรอบวันนั้นๆ
  • Swing Trading: เทรดในกรอบเวลา 1-5 วัน มุ่งหากำไรในช่วงการแกว่งตัวหรือ Swing ของราคาในแต่ละรอบ

ลักษณะและพฤติกรรมของการเทรดสั้น

  • ใช้การวิเคราะห์กราฟในกรอบเวลารายชั่วโมงหรือรายวันเป็นหลัก
  • เน้นการอ่านสัญญาณราคาและเข้าออกออร์เดอร์อย่างรวดเร็ว
  • มีความถี่ในการเทรดมาก บางครั้งอาจหลายสิบถึงหลายร้อยครั้งต่อวัน
  • มักกำหนดเป้าหมายการทำกำไรไว้ที่ 10-20 Pips ต่อออร์เดอร์
  • ต้องมีระเบียบวินัยและปฏิบัติตามกฎการเทรดอย่างเคร่งครัด

 

เปิดบัญชีเทรดที่ ALPFOREX

 

การเทรดยาว (Long-term Trading)

การเทรดยาว คือ การเทรดที่มีการถือครองออร์เดอร์เป็นเวลานาน ตั้งแต่สัปดาห์ เดือน ไปจนถึงหลายปี โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสวงหากำไรจากการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวของราคา ผ่านการใช้การวิเคราะห์ทางพื้นฐาน, การติดตามปัจจัยทางเศรษฐกิจ, และการประเมินทิศทางตลาด

ประเภทของการเทรดยาว เช่น Position Trading, Trend Following

  • Position Trading: เทรดในกรอบเวลาสัปดาห์ถึงเดือน มุ่งหากำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางหลักของกราฟ
  • Trend Following: เทรดโดยอิงการเคลื่อนไหวของราคาตามแนวโน้มหลักในกรอบเวลายาว เช่น รายเดือนถึงรายปี

ลักษณะและพฤติกรรมของการเทรดยาว

  • ใช้การวิเคราะห์กราฟในกรอบเวลารายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน
  • เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เช่น ภาวะเศรษฐกิจ, นโยบายการเงิน, การเมืองระหว่างประเทศ
  • มีความถี่ในการเทรดน้อย อาจเป็นเดือนละครั้งหรือปีละไม่กี่ครั้ง
  • กำหนดเป้าหมายกำไรไว้ที่หลักร้อยถึงหลักพัน Pips ต่อออร์เดอร์
  • ต้องมีความอดทนสูงและมีวินัยในการรอคอยโอกาสที่ดีที่สุด

 

ความแตกต่างในด้าน Timeframe และ Hold Order

ความแตกต่างในด้าน Timeframe และ Hold Order

กรอบเวลาของการเทรดสั้น

การเปิดและปิดออร์เดอร์ภายในระยะเวลาอันสั้น เช่น นาที, ชั่วโมง, หรือวัน

การเทรดสั้นมีการเปิดและปิดออร์เดอร์บ่อยครั้งมาก โดยแต่ละออร์เดอร์อาจใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที จนถึงหลักชั่วโมงหรือหนึ่งวัน ขึ้นอยู่กับประเภทของการเทรดสั้น เช่น Scalping มักเทรดเสร็จภายใน 15 นาที ในขณะที่ Day Trading ต้องปิดออร์เดอร์ทั้งหมดภายในวันนั้น เป็นต้น

การใช้กราฟรายชั่วโมง, รายวัน ในการวิเคราะห์และตัดสินใจ

เนื่องจากการเทรดสั้นต้องการการตอบสนองที่ทันท่วงที การวิเคราะห์กราฟจึงมักใช้กรอบเวลาที่แคบ เช่น กราฟ 5 นาที, 15 นาที, รายชั่วโมง หรือรายวัน เพื่อจับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงและตัดสินใจเปิดปิดออร์เดอร์ได้อย่างรวดเร็ว

กรอบเวลาของการเทรดยาว

การถือครองออร์เดอร์เป็นระยะเวลานาน เช่น สัปดาห์, เดือน, หรือปี

ในการเทรดยาว แต่ละออร์เดอร์มักมีอายุขัยที่นานมาก อาจถือครองเป็นสัปดาห์, หลายเดือน หรือแม้กระทั่งหลายปี โดยมุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของราคาขนาดใหญ่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะเกิดขึ้น จึงมีการปิดออร์เดอร์ที่ห่างกว่าและไม่บ่อยครั้งเหมือนการเทรดสั้น

การใช้กราฟรายวัน, รายสัปดาห์, รายเดือน ในการวิเคราะห์และตัดสินใจ

การเทรดยาวมักใช้กราฟในกรอบเวลาที่กว้างขึ้น เช่น รายสัปดาห์ รายเดือน หรือแม้กระทั่งรายปี ทั้งนี้เพื่อมองเห็นภาพรวมของทิศทางตลาดในระยะกลางถึงระยะยาว และประกอบการตัดสินใจวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสม

 

Forex

 

การวิเคราะห์ทางด้านข้อแตกต่างในแต่ละรูปแบบเทรด

ปัจจัยที่เน้นในการเทรดสั้น

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

เทรดเดอร์ระยะสั้นมักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลักในการตัดสินใจเข้าเทรด เพราะเน้นการอ่านกราฟ รูปแบบราคา หรือสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ต่างๆ ที่สามารถบอกทิศทางการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาสั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว

การใช้อินดิเคเตอร์และสัญญาณการเทรดต่างๆ

อินดิเคเตอร์ยอดนิยมในหมู่เทรดเดอร์ระยะสั้น ได้แก่ Moving Averages, Oscillators, Volume เป็นต้น รวมถึงสัญญาณการเทรดอย่าง Chart Patterns, Candlestick Patterns และ Support/Resistance เพราะสามารถใช้จับจังหวะการเปลี่ยนแปลงของราคาได้อย่างทันท่วงที

ความสำคัญของสภาพคล่องและความผันผวนของราคา

ในการเทรดสั้น สภาพคล่องและความผันผวนของราคาในตลาด นับว่ามีความสำคัญมาก เพราะช่วยให้เกิดโอกาสในการเข้าเทรดหลายๆ ครั้งต่อวัน และยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าสเปรด, การลื่นไหลของราคา, ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องนำมาพิจารณาในการวางแผนและปรับกลยุทธ์ด้วย

ปัจจัยที่เน้นในการเทรดยาว

การวิเคราะห์ทางพื้นฐาน (Fundamental Analysis)

ในขณะที่เทรดเดอร์ระยะสั้นเน้นวิเคราะห์กราฟเป็นหลัก เทรดเดอร์ระยะยาวกลับใช้การวิเคราะห์พื้นฐานเป็นแกนหลักในการประเมินแนวโน้มตลาด เช่น การศึกษาภาวะเศรษฐกิจมหภาค, ปัจจัยทางการเมือง, การคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ย, ฯลฯ ซึ่งมักจะส่งผลต่อราคาเงินตราในระยะกลางถึงระยะยาว

 

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

 

การติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ

เทรดเดอร์ระยะยาวต้องคอยติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญๆ ทั้งจากปฏิทินเศรษฐกิจ และข่าวพาดหัวต่างๆ เช่น ตัวเลขเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงาน, ดัชนี PMI, การเลือกตั้ง, ความขัดแย้งทางการค้า ฯลฯ เพื่อประเมินผลกระทบในระยะยาว และปรับมุมมองต่อตลาดได้ทันเวลา

การประเมินทิศทางและแนวโน้มของตลาดในระยะยาว

การวิเคราะห์ทางพื้นฐานและการติดตามข่าวสารต่างๆ มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินทิศทางและแนวโน้มหลักของตลาดในระยะยาว ว่ามีแนวโน้มไปทางไหน ขาขึ้นหรือขาลง และมีโอกาสผกผันทิศทางหรือไม่ ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจถือครองออร์เดอร์ในช่วงเวลายาวๆ หรือจะรอจังหวะที่ดีกว่าในการเข้าออร์เดอร์

crossmenu