Trend Following หรือการติดตามเทรนด์ เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่มุ่งเน้นการซื้อสินทรัพย์เมื่อราคาเริ่มเคลื่อนไหวขึ้น และขายออกเมื่อราคาเริ่มลง โดยอาศัยสมมติฐานที่ว่า "เทรนด์มักจะดำเนินต่อไปในทิศทางเดิมมากกว่าจะกลับตัวไปในอีกทิศทาง" นักลงทุนจึงพยายามระบุทิศทางเทรนด์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อแสวงหากำไรจากการเคลื่อนไหวนั้นให้ได้มากที่สุด
ความสำคัญของการติดตามเทรนด์ในการลงทุน
การปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับทิศทางของตลาดช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรและควบคุมความเสี่ยงได้ดีกว่าการเดาทิศทางหรือสวนกระแส ซึ่งหากเทรนด์ขาขึ้นเราก็ควรถือครองสินทรัพย์ต่อไปจนกว่าสัญญาณขาลงจะปรากฏ ส่วนในช่วงตลาดหมีเราก็ควรลดการถือครองหุ้นหรือเปิดสถานะขายชอร์ต เป็นต้น การติดตามเทรนด์จึงช่วยให้การตัดสินใจลงทุนมีหลักการมากขึ้น แทนที่จะใช้อารมณ์หรือคาดเดาตลาด
เทคนิคพิเศษในการเทรดแบบ Trend Following
การเทรดแบบติดตามเทรนด์มีหลักการพื้นฐานคือ การเข้าซื้อเมื่อเทรนด์ขาขึ้นเริ่มต้นขึ้น และถือสถานะจนกว่าจะมีสัญญาณของการสิ้นสุดเทรนด์ ในทางตรงกันข้ามหากเป็นเทรนด์ขาลงก็จะเปิดสถานะขายและรอจนกว่าเทรนด์นั้นจะจบลง โดยมีกลยุทธ์ที่นิยมใช้ เช่น
การเข้าซื้อเมื่อราคาทะลุผ่านจุดสูงสุดล่าสุด (Breakout)
- รอจนกว่าราคาจะสามารถปิดสูงกว่าจุดสูงสุดครั้งก่อนหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ก็ถือเป็นการยืนยันการเริ่มต้นของเทรนด์ขาขึ้น
- หากราคาสามารถปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม ก็ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของขาลง
- การเข้าซื้อเมื่อราคาผ่านจุด Breakout ช่วยให้มีโอกาสจับจังหวะได้แม่นยำ แต่ก็มีความเสี่ยงหากเกิดสัญญาณหลอก
การถือสถานะจนกว่าเทรนด์จะสิ้นสุด
- เมื่อเปิดสถานะตามเทรนด์แล้ว ก็ควรถือต่อไปจนกว่าจะมีสัญญาณของการหมดแรงหรือกลับตัว
- สัญญาณจบเทรนด์ เช่น การทะลุเส้น Trend Line, การตัดลงของ Moving Averages, การเกิดรูปแบบกลับตัวในกราฟ เป็นต้น
- การถือสถานะนานๆ ช่วยให้มีโอกาสทำกำไรมากขึ้นตามความยาวของเทรนด์ แต่ต้องควบคุมความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วย
การใช้ Trailing Stop Loss เพื่อปกป้องกำไร
- เพื่อป้องกันไม่ให้เทรนด์ที่กำลังทำกำไรกลับมาขาดทุน จึงใช้ Trailing Stop Loss ที่เลื่อนตามราคาไปในทิศทางของกำไร
- หากราคาย้อนกลับมาแตะระดับ Trailing Stop ก็จะถูกบังคับปิดสถานะทำกำไรโดยอัตโนมัติ
- การใช้ Trailing Stop ช่วยล็อกผลกำไรที่มีอยู่ โดยยังคงโอกาสได้กำไรเพิ่มหากเทรนด์ดำเนินต่อไป
การกระจายความเสี่ยงด้วยการถือหลายสินทรัพย์
- เนื่องจากเทรนด์อาจเกิดขึ้นในหลายตลาดและหลายสินทรัพย์พร้อมๆ กัน การกระจายเงินลงทุนไปตามเทรนด์ต่างๆ ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง
- การถือพอร์ตหลากหลายยังช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากหลายสินทรัพย์ในคราวเดียวกัน
ประเภทของเทรนด์ในการลงทุน
เทรนด์ในตลาดการเงินแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทตามทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา
- ราคาสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
- มักพบในตลาดกระทิง (Bull Market) ที่นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวก
- แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาจะเป็นขาขึ้นชัดเจน
- ราคาสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ
- มักพบในช่วงตลาดหมี (Bear Market) ที่มีมุมมองเชิงลบ
- แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาจะเป็นขาลงชัดเจน
- ราคาเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบๆ ไม่มีทิศทางชัดเจน
- จุดสูงสุดและต่ำสุดของราคาอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
- ไม่มีแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงชัดเจน มักพบในภาวะที่ตลาดไม่มั่นใจในทิศทางต่อไป
นอกจากทิศทางแล้ว เทรนด์ยังสามารถแบ่งย่อยออกได้อีกตามกรอบเวลาที่พิจารณา เช่น เทรนด์ระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว เป็นต้น โดยเทรนด์ในกรอบเวลาที่ยาวกว่ามักจะมีความสำคัญและเชื่อถือได้มากกว่าเทรนด์ในกรอบเวลาที่สั้นกว่า
เครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์เทรนด์ Trend Following
นักลงทุนมักใช้เครื่องมือทางเทคนิคหลายอย่างร่วมกันเพื่อระบุทิศทางและความแข็งแกร่งของเทรนด์ เครื่องมือยอดนิยมมีดังนี้
-
การใช้แนวโน้มเคลื่อนที่ (Moving Averages) Trend Following
- Moving Averages เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของราคาในอดีตช่วงหนึ่ง เมื่อราคาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย ก็บ่งชี้ถึงเทรนด์ขาขึ้น และหากราคาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยก็เป็นสัญญาณของเทรนด์ขาลง
- การตัดกันของ Moving Averages หลายเส้นก็ช่วยยืนยันการกลับตัวของเทรนด์ได้ เช่น การตัดกันขึ้นเป็นสัญญาณซื้อ ส่วนการตัดลงเป็นสัญญาณขาย
- Moving Averages ที่นิยมใช้ ได้แก่ SMA (Simple Moving Average), EMA (Exponential Moving Average) และ MACD (Moving Average Convergence Divergence) โดยมีทั้งแบบคาบสั้นและคาบยาวตามความไวตอบสนองที่ต้องการ
-
การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน (Candlestick Analysis)
- รูปแบบของแท่งเทียนแสดงถึงอารมณ์และแรงซื้อขายในตลาด บางรูปแบบสามารถใช้หาจุดกลับตัวของเทรนด์ได้ เช่น Doji, Hammer, Shooting Star เป็นต้น
- การเกิดแท่งเทียนที่มีขนาดยาวหรือยาวมากในทิศทางของเทรนด์ เช่น White Marubozu ก็เป็นเครื่องยืนยันความแข็งแรงของเทรนด์นั้น
- นอกจากแท่งเทียนเดี่ยวแล้ว รูปแบบกลุ่มแท่งเทียนบางชนิดก็ช่วยระบุทิศทางของเทรนด์ได้ เช่น Bullish/Bearish Engulfing, Morning/Evening Star เป็นต้น
-
การใช้ Trendlines และ Channel
- Trendlines คือเส้นตรงที่ลากผ่านจุดต่ำสุดอย่างน้อย 2 จุดในเทรนด์ขาขึ้น หรือจุดสูงสุด 2 จุดขึ้นไปในเทรนด์ขาลง
- การทะลุของราคาผ่าน Trendline อย่างมีนัยสำคัญ อาจบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดลงของเทรนด์เดิม
- Channel คือช่องทางที่ประกอบด้วยเส้น Trendline ขนานกัน 2 เส้น ใช้เพื่อระบุขอบเขตการแกว่งตัวของราคาในระหว่างเทรนด์
นอกจากนี้ยังมีตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น Relative Strength Index (RSI), Stochastic Oscillator, Ichimoku Cloud, Parabolic SAR ซึ่งช่วยให้การระบุทิศทางและความน่าเชื่อถือของเทรนด์ชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตามไม่มีตัวชี้วัดใดใช้ได้ผลสมบูรณ์แบบตลอดเวลา จึงต้องใช้หลายเครื่องมือประกอบกันและปรับให้เข้ากับสภาวะตลาดด้วย